เป็นจังหวะที่หลายคนต้องจับตาสำหรับการแข่งขันในโลกเทคโนโลยีที่ไม่มีใครยอมใคร โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทุกวันนี้ไม่ได้จบแค่การสร้างเครื่องมือ หรือโปรแกรมเหมือนบริษัทเทคโนโลยีในอดีต หากแต่เป็นการสร้าง Ecosystem แบบ 360 องศาที่มีแกนกลางเป็นเทคโนโลยี และใช้ Ecosystem นั้นอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด
โดยหากเอ่ยถึงบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและมี Ecosystem เป็นของตัวเองแล้ว เราอาจขอยก 3 ยักษ์ใหญ่ในแต่ละกลุ่มธุรกิจขึ้นมาเป็นกรณีศึกษา ได้แก่ Amazon, Google และ Huawei โดยสำหรับรายแรกอย่าง Amazon นั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อเริ่มต้นธุรกิจร้านค้าออนไลน์ สินค้าที่ Amazon ขายเป็นกลุ่มแรก ๆ คือ “หนังสือ” ซึ่งอาจฟังดูไม่เกี่ยวกับการสร้าง Ecosystem เลย เพียงแต่ความโดดเด่นของAmazon ในยุคนั้นก็คือ พวกเขาเลือกจะเป็นร้านหนังสือล้านปก แถมราคายังถูกกว่าร้านหนังสือทั่วไป และมีบริการจัดส่งที่รวดเร็ว
การต่อยอดของ Amazon ในยุคต่อมาคือการขยายไปสู่แพลตฟอร์ม e-book และอุปกรณ์อ่านหนังสือ ในชื่อ Kindle, บริการ Amazon Prime, คลาวด์, Amazon Echo, Amazon Alexa และอื่น ๆ อีกมากมาย จนในที่สุด เมื่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้นประกอบกันลงตัว ภาพของ Amazon ก็ชัดเจนมากขึ้น กับการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มเพื่อการจับจ่ายซื้อสินค้า ที่ไม่จำกัดอยู่แค่บนโลกออนไลน์ โลกออฟไลน์ Amazon ก็มีพื้นที่เตรียมไว้รองรับเช่นกัน นั่นคือการเข้าซื้อธุรกิจค้าปลีกอย่าง Whole Foods รวมถึงเปิดตัวร้านสะดวกซื้ออัจฉริยะ Amazon Go ที่ผู้บริโภคไม่ต้องพกเงินสดมาก็ช็อปปิ้งได้ จนสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามามีบทบาทในการทำงาน โดย AI จะทำหน้าที่ศึกษาพฤติกรรมลูกค้าแต่ละคนจากข้อมูลการซื้อสินค้าที่เก็บไว้ และนำมาวิเคราะห์เพื่อจะได้นำเสนอสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคคนนั้น ซึ่งเห็นได้ว่านวัตกรรมอันชาญฉลาดของ Amazon มาจากการทุ่มงบมหาศาลไปในการวิจัยและพัฒนา หรือ R&D นั่นเอง
ปัจจุบัน มูลค่าบริษัทของ Amazon พุ่งสูงถึง 9.15 แสนล้านดอลลาร์ โดยรายงานการจัดอันดับแบรนด์สินค้ากลุ่มค้าปลีกของบริษัทWPP และ Kantar จัดอันดับให้ Amazon มีมูลค่าทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะข้อมูลจากนิตยสาร Forbes แสดงให้เห็นว่า Amazon ติดอันดับบริษัทที่ใช้งบ R&D มากที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน คิดเป็นมูลค่า 22,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทรายต่อมาคือ Google ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีที่เติบโตมาจากการเป็นเสิร์ชเอนจินชื่อดัง ก่อนที่ Google จะขยายมาสู่บริการ AdWords และ AdSense ซึ่งเป็นการแสดงโฆษณาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายตามคำค้นหา พร้อมต่อยอดธุรกิจจากSearch Engine ออกไปยังหลายวงการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเติมเต็ม Ecosystem ของ Googleให้ครบวงจรมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ Android, Google Map, Gmail, Google Drive และอีกมากมาย รวมถึงการซื้อกิจการ เช่น YouTube ด้วย
นอกจากนั้น Google ยังใส่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ลงไปในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น Google Translate, Google Photo และ Google Assistant เพื่อให้ตอบโจทย์การบริการได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนสำหรับผู้บริโภคทั่วไปอย่างเราๆ นั้นก็คงเป็นบริการ Google Translate ซึ่งนับวันจะยิ่งฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เช่น การสามารถตรวจจับภาษาที่ได้ยินหรือแม้แต่การสแกนไปที่ตัวอักษรของแต่ละภาษานั้น ๆ และแปลกลับมาเป็นภาษาที่เราต้องการได้โดยอัตโนมัติ
Google ยังมีรายได้มหาศาลที่มาจากบริการ AdWords และ AdSense ส่งผลให้มูลค่าของบริษัท Google ถูกตีเอาไว้ที่ราว 8 แสนล้านดอลลาร์ โดยมีงบวิจัยและพัฒนาต่อปีอยู่ราว 16,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรองเพียงแค่ Amazon เท่านั้น
ข้ามมายังธุรกิจสุดท้าย นั่นคือ Huawei โดย Huawei ถือเป็นยักษ์ใหญ่จากเอเชียที่เติบโตรวดเร็วและน่าจับตาที่สุดในยุคนี้ เพราะไม่เพียงแค่ผลิตสมาร์ทโฟนให้คนทั่วโลกใช้เท่านั้น แต่กิจการของ Huawei ยังรวมไปถึง ผลิตภัณฑ์ โซลูชั่น โครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม Public Cloud และ Data Center รวมไปถึงนวัตกรรมพลิกโลกอย่างผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ที่สนับสนุนเทคโนโลยีโทรคมนาคมอย่าง 5G
ปัจจุบัน Huawei จำหน่ายเสาสัญญาณเครือข่าย 5G ให้กับผู้บริการโทรศัพท์จำนวนมาก และมีพันธมิตรคู่ค้าอยู่ทั่วโลก ส่วนผลประกอบการในปีที่ผ่านมา Huawei ก็ไม่น้อยหน้าใครเพราะทำรายได้สูงถึง 721,202 ล้านหยวน หรือประมาณ 104,516 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับการลงทุนกับการวิจัยและพัฒนานั้น หัวเว่ยทุ่มเงินถึง 10% ของยอดขายแต่ละปีเพื่อนำไปใช้ในด้าน R&D โดยในปีที่ผ่านมา Huawei ใช้งบ R&D สูงถึง 1 แสนล้านหยวน เลยทีเดียว และล่าสุด Huawei ยังตั้งเป้าเพิ่มงบด้านR&D สูงถึง 1.5– 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อครองตำแหน่งผู้นำด้านเทคโนโลยี 5G ของโลกอีกด้วย
จะเห็นได้ว่า เมื่อเทียบความยิ่งใหญ่กันแล้ว แม้จะอยู่คนละธุรกิจ แต่ทุกค่ายต่างมีความโดดเด่นด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่กินกันไม่ลง ด้วยเหตุนี้ การกีดกันทางการค้าที่กำลังปะทุขึ้นระหว่าง Google และ Huawei จึงไม่ใช่สิ่งที่จะส่งผลดีทั้งต่อ Google และ Huawei เลย โดยเฉพาะ Google ที่ต้องสูญเสียรายได้จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Huawei และเท่ากับเสียโอกาสการเข้าถึงผู้ใช้นับร้อยล้านคนทั่วโลก อีกทั้งก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า Huawei เอง ก็มีแผนสำรองในการพัฒนาระบบปฏิบัติการของตนเอง และพร้อมนำออกมาใช้งานด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ อาจเป็นการดีกว่า หากยักษ์ใหญ่จากทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกของโลกจะหันมาจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน ดีกว่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ถึงทางตัน และทำให้ Huawei กับ Google ต้องหันหน้ามาชนกันแทน เพราะงานนี้ เป็นไปได้ว่า Google น่าจะสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในการประกาศยุติความสัมพันธ์ครั้งนี้