หากเอ่ยชื่อ Megvii อาจไม่ใช่ชื่อที่คุ้นหูมากนัก แต่หากบอกว่า บริษัทแห่งนี้เป็นเจ้าของเทคโนโลยีจดจำและวิเคราะห์ใบหน้า Face++ (เฟซพลัสพลัส) ที่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางในจีนแผ่นดินใหญ่ และสามารถช่วยทางการจีนจับกุมผู้ลี้ภัย หรือผู้ที่ทางการตามหาตัวได้มาแล้วกว่า 5,000 คนนับตั้งแต่ปี 2016 หลายคนอาจรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้น Face++ ยังถูกนำไปใช้งานในสถานีรถไฟ ถนนหนทาง สนามบิน รวมถึงใช้ยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้ Megvii กลายเป็นบริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อยืนยันตัวตนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ในระดับ Third-Party) ไปแล้วในปัจจุบัน
แต่ Megvii ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องเทคโนโลยีจดจำและวิเคราะห์ใบหน้า เพราะบริษัทยังเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อีกหลายด้าน เช่น ระบบโลจิสติกส์ ระบบบริหารคลังสินค้า โดยมี AI อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มีผู้ใช้งานอยู่ไม่น้อยในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้นของ Megvii เกิดขึ้นเมื่อ 8 ปีก่อน จากเพื่อน 3 คนที่เรียนด้วยกันในมหาวิทยาลัย Tsinghua ได้แก่ Yin Qi, Tang Wenbin และ Yang Mu โดยแต่ละคนต่างมีความโดดเด่นในระดับท็อปของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็น Tang Wenbin ประธานนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นโค้ชให้กับทีมนักศึกษาของจีนที่เดินทางไปแข่งขันด้าน Information Engineering ในระดับโอลิมปิก หรือ Yin Qi ชายผู้เติบโตมาในครอบครัวที่อนุญาตให้เขาทำอะไรก็ได้ตามใจ ตราบเท่าที่ผลการเรียนอยู่ในระดับ Top10 ของห้อง
ขณะที่ Yang Mu ก็เป็นเจ้าของรางวัลเหรียญทองโอลิมปิก และมักเป็นคนเขียนโค้ดต่าง ๆ โดยมี Yin Qi และ Tang Wenbin เป็นคนที่ยืนชี้นิ้วอยู่ข้างหลัง
โดย Yin Qi เล่าว่า พวกเขาเริ่มเขียนโค้ดเล่นกันสนุก ๆ ในสมัยเรียน ก่อนจะพบว่าสิ่งที่พวกเขาพัฒนานั้นเริ่มได้รับการตอบรับในวงกว้าง จึงนำไปสู่การเปิดตัวบริษัท Megvii อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา โดยมีเป้าหมายเพื่อการสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่าเดิม
บริษัทที่พวกเขาสร้างขึ้นตั้งอยู่ในฮับด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Zhongguancun ทางตอนเหนือในกรุงปักกิ่ง โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากหนุนหลัง ไม่ว่าจะเป็น Bank of China Group Investment, Foxconn Technology และ Alibaba Group
ปัจจุบัน Megvii มีมูลค่าราว 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีลูกค้าอย่าง Lenovo, Xiaomi, Vivo ใช้บริการ รวมถึงยังช่วยให้กระทรวง Public Security จับกุมผู้ลี้ภัยได้มากกว่า 5,000 คนตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาด้วย
ล็อกเป้า Megvii
อย่างไรก็ดี เส้นทางของ Megvii นับจากนี้อาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เพราะหากย้อนไปดูเส้นทางของ Huawei ก่อนหน้าที่จะเป็นข่าวครึกโครมกับการถูกขึ้นบัญชีดำ และห้ามบริษัทในสหรัฐอเมริกาทำการค้าด้วยนั้น Huawei ก็เคยถูกล็อกเป้า และถูกโจมตีจากประเด็นต่าง ๆ ไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อกังวลด้านความปลอดภัย การขโมยสิทธิบัตรของ T-Mobile, ไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับโลกอย่างการควบคุมตัว “Meng Wanchou” CFO ของ Huawei และลูกสาวของเหริน เจิ้งเฟย โดยทางการแคนาดา ตามการร้องขอของสหรัฐอเมริกาด้วยข้อหาละเมิดสนธิสัญญาการคว่ำบาตรทางการค้ากับอิหร่าน ฯลฯ
ส่วนการ “ล็อกเป้า” Megvii อย่างเป็นทางการอาจเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กับการถูกกลุ่ม Human Rights Watch ในสหรัฐอเมริกาออกมาประท้วงด้วยข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนในการใช้เทคโนโลยีจดจำและวิเคราะห์ใบหน้าในมณฑลซินเจียง พื้นที่อ่อนไหวด้านชาติพันธุ์
โดยสื่อตะวันตกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Techcrunch, Forbes ฯลฯ มีการรายงานโดยอ้างอิงผลการศึกษาของกลุ่ม Human Rights Watch ว่า Megvii ได้เป็นผู้นำเทคโนโลยี Face++ ใส่ลงในแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า IJOP และถูกตำรวจใช้ในการติดตามพฤติกรรมผู้ต้องสงสัยของกลุ่มมุสลิมอุยกูร์
ไม่เกี่ยวข้องข้อขัดแย้ง “ชนกลุ่มน้อย”
ส่วนทาง Megvii ได้ออกมาปฏิเสธว่าบริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแอปพลิเคชันที่ใช้ในมณฑลซินเจียงแต่อย่างใด พร้อมบอกด้วยว่า บริษัทไม่เคยมีการดีลกับรัฐบาลโดยตรงในเรื่องเทคโนโลยี
โดย Yin Qi ในฐานะซีอีโอของ Megvii กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อประเด็นดังกล่าวกับ South China Morning Post ว่า การเข้ามาสู่เส้นทางสตาร์ทอัพของ Megvii นั้นไม่ได้มาแค่หวังเงินจากนักลงทุน หากแต่ต้องการพัฒนาเอไอที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนให้ไปสู่สิ่งที่ดีกว่าให้ได้ ส่วนปัญหาที่เกิดในมณฑลซินเจียงนั้น ทาง Yin Qi กล่าวเพียงแค่ว่า ไม่ควรชี้นิ้วมาที่เทคโนโลยีว่าเป็นคนผิด และควรมีใครสักคนรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายต่อว่าเขาหมายถึงใครกันแน่
“เทคโนโลยีของเราไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้โจมตีชนกลุ่มน้อย หรือผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง ซึ่งเราได้ขอร้องลูกค้าไม่ให้ใช้เทคโนโลยีไปในทางที่ผิดกฎหมาย รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วย” Yin Qi กล่าว
อย่างไรก็ดี ทางกลุ่ม Human Rights Watch ได้ออกมาปฏิเสธเนื้อหาบางส่วนที่สื่อออนไลน์รายงานออกไป โดยกล่าวว่า ทางสำนักข่าวอาจไม่ได้รายงานการวิเคราะห์ของพวกเขาอย่างแม่นยำมากพอ เพราะทางกลุ่มได้ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ซอร์สโค้ดของ Face++ ซึ่งเชื่อมต่ออยู่กับแพลตฟอร์มสาธารณะอาจแทรกตัวอยู่ในแอป แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ชี้ชัดว่า Face++ มีความสัมพันธ์กับ IJOP ซึ่งเป็นระบบที่ทางการจีนใช้ในการตรวจตราความปลอดภัยในมณฑลซินเจียง
กระนั้น การที่ทางกลุ่ม Human Rights Watch บอกว่าจะติดตามพฤติกรรมของแอป IJOP ต่อไปและอัปเดตผลการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นบทสรุปที่ชัดเจนเพียงพอว่า การล็อกเป้า Megvii นั้นเกิดขึ้นแล้ว และโอกาสที่จะได้รับการยกย่อง หรือสร้างชื่อเสียงในทางบวกจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป และผลก็ต้องออกมาในลักษณะนี้นั่นเอง
ส่วนเส้นทางของ Megvii หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้น สิ่งที่แน่ใจได้อย่างหนึ่งคือ พวกเขาจะเติบโตมากขึ้น เพราะแผนการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยขนาดใหญ่ของจีนที่มีชื่อว่า Skynet นั้นได้เริ่มขึ้นแล้ว และ IDC คาดการณ์ว่าภายในปี 2022 จีนจะเริ่มใช้งานกล้องรักษาความปลอดภัย 2.76 พันล้านตัว ซึ่งหากวันนั้นมาถึง เทคโนโลยีด้าน Facial Recognition ของ Megvii และผู้พัฒนารายอื่น ๆ จะยิ่งได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากขึ้นไปด้วย และอาจกลายเป็นทรัพย์สมบัติของชาติไปได้เลยทีเดียว