ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค จากการศึกษาเรื่อง Global Innovation Index : GII ซึ่งจัดทำโดย Cornell SC Johnson College of Business และ INSEAD WIPO ได้เปิดเผยผลการประเมินผลดัชนีนวัตกรรมโลกว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลแห่งใหม่ของภูมิภาค ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 44 ในปี 2561 มีอันดับที่ดีขึ้น 7 อันดับ
ด้วยความโดดเด่นเป็นพิเศษด้านความก้าวหน้าของตลาด (Market Sophistication) ผลลัพธ์จากองค์ความรู้และเทคโนโลยี (Knowledge and technology outputs) และอัตราส่วนประสิทธิภาพด้านนวัตกรรม (Innovation Efficiency Ratio) อีกทั้งยังเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศในกลุ่มนวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จ (Innovation Achievers) อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม เนื่องจากยังขาดระบบนิเวศสมบูรณ์แบบครบวงจร สำหรับสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัล
เพื่อให้สตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านดิจิทัลรุ่นใหม่ สามารถเข้าถึงและเชื่อมโยงกับหน่วยงานภาครัฐ บริษัท และองค์กรเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกได้ จึงเกิดเป็น “Work Space” พื้นที่สำหรับทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล ภายใน “True Digital Park” ศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในไทย และใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิด “One Roof, All Possibilities – ที่เดียว ทุกความเป็นไปได้”
คุณฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค บอกว่า สำหรับสถิติของผู้เข้าทำงานที่ Work Space ปัจจุบันคิดเป็นชาย 57% และหญิง 43% โดยมีกลุ่มผู้ใช้งานจากหลากหลายประเภทธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจดิจิทัลคอนเทนต์ โซเชียลแพลตฟอร์ม Enterprise Platform อีคอมเมิร์ซ หุ่นยนต์ รวมถึงธุรกิจเทคต่างๆ อาทิ ฟินเทค ทราเวลเทค มาร์เก็ตติ้งเทค พร็อพเทค (PropTech) และ AgriTech เป็นต้น
โดยสาขาการทำงานของผู้ที่อยู่ใน True Digital Park ส่วนใหญ่จะเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีมากกว่า 60% ของคนทั้งหมด แบ่งตามสาขาการทำงานได้ดังนี้ กลุ่มวิศวกร ไอที เทคโนโลยี และนวัตกรรม 40% งานสนับสนุนทางเทคนิค 15% ด้านการตลาดดิจิทัล 6% ด้านบริหารและพัฒนาธุรกิจ 25% และงานสนับสนุนด้านอื่นๆ เช่น บัญชี และบุคคล 14%
สำหรับ “Work Space” แห่งนี้ ตั้งอยู่พื้นที่ขนาด 77,000 ตร.ม. ในบริเวณชั้น 6 และ 7 ของ True Digital Park ประกอบด้วย 4 โซน ได้แก่ Co-Working Space , Office Space , Innovation Space , Event and Business Services Space ในรูปแบบ Connected Environment ที่มีบรรยากาศเปิดโล่งและเชื่อมต่อถึงกันในแต่ละชั้น โดยทุกพื้นที่ยังนำเทคโนโลยีไฮเทคมาใส่ไว้ เพื่อให้เหล่าสตาร์ทอัพและผู้คนจากทั่วโลกที่มาทำงานและใช้ชีวิตประจำวันที่นี่ ได้ใช้ชีวิตแบบสมาร์ท (Smart Life)
เริ่มตั้งแต่สมาชิกของ True Digital Park จะพบกับการตรวจและจดจำใบหน้าเพื่อควบคุมการเข้า-ออกอาคารโดยอัตโนมัติ โดยเป็นการนำเทคโนโลยี AI Cognitive service เพื่อการจดจำใบหน้าจากไมโครซอฟท์มาใช้ เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัย แทนที่การใช้งานบัตรผ่านในแบบเดิม
เมื่อเข้าสู่ภายในพื้นที่แล้ว จะพบกับพื้นที่นั่งทำงานแบบ Open Space ที่มีให้เลือกมากกว่า 400 ที่นั่ง ซึ่งทุกที่นั่ง สามารถเชื่อมต่อสู่โลกดิจิทัลผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps และเครือข่าย WiFi พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ห้องประชุมพร้อมอุปกรณ์ ที่สามารถจองได้ผ่านแอพพลิเคชั่น บริการกาแฟ เครื่องดื่ม และแพนทรี (Pantry) ส่วนกลาง
ที่นี่ยังรองรับการใช้ชีวิตประจำวันแบบ Cashless Society โดยในการซื้อสินค้าสามารถจ่ายผ่าน True Money หรือตัดผ่านระบบ Member และในอนาคตจะเชื่อมโยงไปสู่การซื้อสินค้าใน 7-Eleven อีกด้วย
โดย 7-Eleven สาขา True Digital Park แห่งนี้ ได้เตรียมนำระบบเทคโนโลยีสแกนใบหน้า หรือ Face Recognition มาใช้ คล้ายกับ Amazon Go ในสหรัฐอเมริกา โดยผู้ใช้สามารถซื้อสินค้าและชำระเงินด้วยตนเอง (self service) ไม่ต้องรอจ่ายกับพนักงาน และนำสินค้าออกนอกร้านได้เลย
ในเบื้องต้น ผู้ใช้ที่เป็นสมาชิก All member สามารถมาลงทะเบียนใบหน้าเพื่อบันทึกไว้ในระบบก่อนได้ โดยหน้าจอ Dynamic Greeting จะทักทายชื่อผู้ใช้เมื่อมาถึงที่ร้าน และในอนาคตจะแสดงโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะบุคคล จากการเรียนรู้พฤติกรรมการซื้อสินค้า เช่น สินค้าที่ซื้อเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ในช่วงของการทดสอบระบบ และนำรายการสินค้าเข้าสู่ Data Base
นอกจากจะได้สัมผัสการใช้ชีวิตแบบดิจิทัลแล้ว สมาชิกสามารถเข้ารับบริการสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น VC Clinics และเพิ่มโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่สตาร์ทอัพ บริการให้คำปรึกษาและสนับสนุนการขอสมาร์ทวีซ่า สำหรับสตาร์ทอัพและชาวต่างชาติที่มาทำงานในประเทศไทย บริการที่ปรึกษาธุรกิจ กฎหมาย บริการสนับสนุนอื่นๆ และสิทธิพิเศษด้านภาษี รวมทั้งเชื่อมโยงกับสถาบันการศึกษาเพื่อเพิ่มโอกาสให้นักศึกษาสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อสร้าง Tech Talent ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดบุคลากรด้านดิจิทัล เป็นต้น
และสามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ใหม่ๆ จากพันธมิตรทั้งหน่วยงานภาครัฐ บริษัท และองค์กรชั้นนำระดับโลก ที่เข้ามาจัดตั้งศูนย์ภายใน True Digital Park ไม่ว่าจะเป็น
Google Academy – A Google Space ศูนย์บ่มเพาะทักษะดิจิทัลแห่งแรกของเอเชีย หลังจากเปิดแห่งแรกที่ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยศูนย์แห่งนี้ จะเป็นสถานที่ฝึกอบรมความรู้และพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้กับคนไทยและภาคธุรกิจ ให้สามารถนำความรู้มาใช้ต่อยอดกับธุรกิจในโลกดิจิตอลได้ ผ่านโปรแกรมการฝึกอบรม และกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นร่วมกับพาร์ทเนอร์ โดยสามารถรองรับผู้เข้าร่วมสูงสุดได้ 200 คน
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างชุมชน แหล่งรวมความรู้ แบ่งปันแนวคิด และสร้างแรงบันดาลใจต่างๆ ที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนแนวนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ และยังจะนำมาซึ่งการพัฒนาประเทศในด้านอื่นๆตามมาอีกมากมาย
Mu Space สตาร์ทอัพดาวเทียมสัญชาติไทย ที่เปิดห้องทดลอง Open Lab เพื่อค้นคว้า วิจัย และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ทางด้านอวกาศ (Space Spin-offs) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีอวกาศมาปรับใช้กับระบบปฏิบัติการ (Applications) ต่างๆบนพื้นดิน ทั้งในเรื่องการแพทย์ การสื่อสาร พลังงาน อาหาร สิ่งทอ และด้านเกษตรและด้านอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อโครงการด้านอวกาศของไทยและภูมิภาคอวกาศ รวมทั้งความร่วมมือในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่จะนำเอาการสื่อสารโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมมาพัฒนาเป็นโซลูชั่นและบริการรูปแบบใหม่ๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ยังมีองค์กรชั้นนำ อย่าง NIA , DEPA , ETDA , ACE Singapore , KMITL , AWS , Huawei , Ricoh , UOB , Wongnai , Thailand e-Center (TeC), CP Innovation และ True Digital Academy ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มและเสริมสร้าง Ecosystem ให้สตาร์ทอัพไทยเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนอีกด้วย.