ในยุคดิจิทัล ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายองค์กรต่างก็ประสบปัญหาขาดแคลนทรัพยากรบุคคลระดับคุณภาพ โดยเฉพาะด้านไอที โปรแกรมเมอร์ ซึ่งเป็นปัญหาระดับต้นๆ ในสายสตาร์ทอัพ องค์กรต่างๆ หรือภาคธุรกิจที่ต้องการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนในการดำเนินงาน หลายแห่งต้องการคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต้องทำงานเชิงรุก แข่งกับเวลา ทำงานเป็นทีมเวิร์ก ขณะเดียวกันก็ต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้สื่อใหม่ๆ ที่กำลังถาโถมเข้ามา กล้าคิดกล้าทำ กล้าตัดสินใจ กล้ายอมรับผิด และต้องกล้าที่จะปรับเปลี่ยนแก้ไขในทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยวิสัยทัศน์บวกกับแนวคิดและวิธีทำงานของผู้ก่อตั้ง นายไมเคิล เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (Buzzebees)ทำให้องค์กรสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ที่ท้าทายความสามารถอย่างมาก และทำให้บริษัทฯ เติบโตก้าวสู่ปีที่ 7 ได้อย่างมั่นคง ด้วยวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ทัศนคติการทำงานในเชิงบวก มีการประชุมโต๊ะกลมทุก 9 โมงเช้า การทำงานที่เข้าถึงผู้บริหารได้ตลอดเวลา24/7 รวมถึงความใส่ใจในรายละเอียด ทั้งเรื่องการสร้างบรรยากาศปรับสภาพแวดล้อมให้น่าอยู่ มีมุมสันทนาการ โซนประชุมโมเดิร์น เพื่อเป็นแหล่งรวมความคิดสร้างสรรค์ เกิดไอเดียใหม่ๆ จัดปาร์ตี้ทุกวันศุกร์สิ้นเดือน เพื่อช่วยลดความตึงเครียด มอบสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่พนักงานพึงได้รับ รวมถึงให้ผลตอบแทนที่จูงใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาความเหนียวแน่นของพนักงานในองค์กรให้มีพลังทำงานและร่วมกันนำพาองค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาถึงวันนี้
Buzzebees เติบโตมาจาก Tech Startup ซึ่งก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน เริ่มต้นจากคนเพียง 6 คน แต่เมื่อต้นปี 2562 บัซซี่บีส์มีพนักงานมากกว่า 200 คน และเป็นผู้นำด้านการออกแบบและพัฒนาแพลตฟอร์ม CRM Privilege แบบครบวงจร One Stop Solution ครอบคลุมตลาดในประเทศไทย มากกว่า 90% และมีฐานครอบคลุมผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคน ครอบคลุมในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งด้านสถาบันการเงินและธนาคาร บริษัทประกัน ผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม สินค้าอุปโภคบริโภค และน้ำมันเชื้อเพลิง และยังมีโอกาสขยายตัวออกไปอีกมาก โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ประมาณที่ 665 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนด้าน CRM ประมาณ 80% และการทำ E-Commerce, บิ๊กดาต้า การชำระเงินผ่าน Wallet Payment และอื่นๆ อีก 20% พร้อมตั้งเป้าว่าในปี 2562 จะมีรายได้อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท
นายไมเคิล เชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ในปีนี้ Buzzebees มีลูกค้าสินค้าอุปโภคบริโภคกว่า 10 รายอาทิ เนสท์เล่, M150, มาม่า, โคคา–โคล่า, ห้าง Mega, Philips Lighting และ Royal Canin ที่ให้เราออกแบบพัฒนาแพลตฟอร์มสร้างความภักดีต่อแบรนด์ ด้วยการใช้แพลตฟอร์ม Application หรือ Line Business Connect เป็นต้น ซึ่งข้อดีของการทำ CRM แต่ละแพลตฟอร์มก็จะแตกต่างกันไป บางแพลตฟอร์มสามารถต่อยอดให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ ทราบว่ายิงโปรโมชั่นแบบไหนผู้บริโภคถึงชอบและได้รับผลตอบรับดีก็ทำต่อไป ลูกค้าคนนี้ชอบกินอะไร ชอบซื้อของเวลาไหน ชอบรสชาติอะไร ทำให้เวลาทำแคมเปญการตลาดครั้งถัดๆ ไป ก็จะตรงใจลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปัจจุบันเราได้พัฒนาโมเดลการตลาดเรียกว่า ‘Buzzebees Z-through’ ที่สามารถเลือกทำแคมเปญ Customize Campaign เฉพาะกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ ถ้าเรารู้ว่าคนนี้กินอาหารญี่ปุ่น และชอบเข้าFitness ช่วงเช้าก่อนทำงาน ก็สามารถนำเสนอแพคเกจ Fitness รายปีสุดคุ้มเฉพาะช่วงเช้า พร้อมมอบสิทธิ์รับประทานอาหารญี่ปุ่นในราคาพิเศษ ซึ่งการทำแบบเลือกกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้องค์กรประหยัดงบการตลาดและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งคุ้มค่ากว่าการยิงโปรโมชั่นเหมือนกันทั่วประเทศ เป็นต้น
นายไมเคิล เชน ยังกล่าวเสริม “อีกตัวอย่าง case study ที่น่าสนใจและได้ผลตอบรับดีเกินคาดกับแคมเปญสะสมแต้มใต้ฝาน้ำดื่มสิงห์ Singha Rewards อยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภค ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต้องทำมาร์เก็ตติ้ง และหัวใจสำคัญที่นักการตลาดมุ่งเน้นคือการใช้ ROI (Return on Investment) เป็นเกณฑ์หลักในการวัดผลของยอดขายหรือใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการขายผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยเฉพาะในสินค้าประเภทอุปโภคบริโภค ในช่วงปีที่ผ่านมา การทำตลาดที่เป็นดิจิทัลในรูปแบบ CRM บนบรรจุภัณฑ์สามารถตอบโจทย์ด้าน ROI ให้กับสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างมาก และได้ผลมากกว่าการทำในรูปแบบเดิมๆ โดยถ้าแบรนด์ทำ Loyalty Program ต่อเนื่องในปีแรก สามารถทำให้ผู้บริโภคเกิดการ switch แบรนด์ ได้สูงถึง 10% และสุดท้ายในการทำผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคสามารถเกิดการ switch แบรนด์ ได้ถึง 30%”
ล่าสุด Buzzebees ได้ออกแบบพัฒนา “เมกาบางนา แอพพลิเคชั่น” (Megabangna Application) ที่ครบวงจร ทั้งข้อมูลโปรโมชั่นเด็ดสุดคุ้ม กิจกรรมต่างๆ รายละเอียดร้านค้า รวมไปถึงการสมัครสมาชิก สะสมคะแนน และแลกคะแนนเมกา สไมล์ รีวอร์ดส เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว และสามารถรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ สามารถเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ตรงใจให้ลูกค้าได้มากกว่า เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และยกระดับประสบการณ์ Customer Experience ตั้งเป้าว่าจะมีลูกค้าลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นเพิ่มขึ้น50% ภายในปี 2564
ปัจจุบัน บัซซี่บีส์มีลูกค้าธุรกิจมากกว่า 80 ราย อาทิ ซัมซุง, มี๊ด จอห์นสัน, เนสท์เล่, M150, มาม่า, โคคา–โคล่า, ห้าง Mega, Philips Lighting, Royal Canin, ปตท., ไทยพาณิชย์, ธนชาตประกันภัย, กสิกรไทย, กรุงไทยแอกซ่า, อลิอันซ์ อยุธยา, เทสโก้ โลตัส, แมคโดนัลด์, ทรู คอฟฟี่, GETVAN และ WhatSale เป็นต้น รวมถึงได้ขยายตัวออกไปยังตลาดต่างประเทศ 9 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย แอฟริกา กาน่า แคมมารูน และไอวอรี่โคสต์ และปัจจุบันได้ขยายโอเปอเรชั่นในตลาด AEC ใน 2 ประเทศ คือ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย