Whole Foods ยุคภายใต้การกุมบังเหียนของ Amazon ออกมาประกาศเรื่องน่าสนใจอีกแล้ว โดยล่าสุดเป็นการประกาศ “ตัดสวัสดิการด้านการแพทย์” ของพนักงานพาร์ทไทม์ทิ้งเป็นที่เรียบร้อย โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้ตอบโจทย์ธุรกิจ และทำให้บริษัทสามารถจัดตารางเวลาได้อย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น
สำหรับการเปลี่ยนนโยบายนี้จะเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคม 2020 และ Whole Foods อ้างว่ามีพนักงานไม่ถึง 2% ของพนักงานทั้งหมดกว่า 95,000 คนที่ได้รับผลกระทบ หรือหากแปลงเป็นตัวเลขแล้วจะมีพนักงานได้รับผลกระทบราว 1,900 คนเท่านั้น ขณะที่สิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ได้ส่วนลด 20% จากการซื้อสินค้าของ Whole Foods นั้นยังคงอยู่เหมือนเดิม
ส่วนคำจำกัดความของพนักงานพาร์ทไทม์ในมุมของ Whole Foods ก็คือคนที่ทำงานไม่ถึง 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนพนักงานฟูลไทม์ไม่ถูกตัดสิทธินี้แต่อย่างใด
โดยหากย้อนอดีตไปเมื่อปี 2017 ดีลการซื้อกิจการ Whole Foods ของ Amazon มูลค่า 13,700 ล้านเหรียญสหรัฐ ถูกคาดหมายว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงในตลาด Brick-and-Mortar ของ Whole Foods ได้อย่างมาก และสำหรับการปรับลดสวัสดิการครั้งนี้ ที่แน่ ๆ จะมีคนราว 1,900 คนแล้วที่ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลง
โดยก่อนที่จะมาถึงสถานการณ์ดังกล่าว Amazon เคยลงนามร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทอื่น ๆ ที่อยู่ในลิสต์ Fortune 500 ว่าจะเป็นบริษัทที่ไม่คำนึงถึงแต่ผู้ถือหุ้นแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะมอบสิทธิประโยชน์ให้กับพนักงาน และชุมชนรอบข้างด้วย โดยจุดมุ่งหมายของการร่วมลงนามครั้งนั้นเพื่อให้บริษัท และชุมชนประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
ไม่เพียงเท่านั้น ฐานะทางการเงินของ Amazon ในปัจจุบันก็ไม่ธรรมดา เพราะนอกจากจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ยังมีมูลค่ามากที่สุดติดท็อปทรีของโลก โดยเป็นรองแค่ Apple และ Microsoft เท่านั้นด้วย