ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน รูปแบบการพัฒนาโครงการส่วนใหญ่ จะเป็น “การพัฒนาเพื่อขาย” ไม่ว่าโครงการบ้านจัดสรร หรือคอนโดมิเนียม แต่เมื่อไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป และรูปแบบการสร้างรายได้ในยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีแต่วิธีการเดิมๆ อย่างเช่น การนำเงินฝากธนาคาร หรือเล่นหุ้น ทำให้ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” (HABITAT GROUP) มองเห็นโอกาสทางการตลาด พัฒนาโมเดลธุรกิจรูปแบบ “ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” (Lifestyle Investment) ซึ่งเป็นการบริหารอสังหาริมทรัพย์แบบปล่อยเช่า ที่มีการบริการจัดการแบบโรงแรมเข้ามาเพิ่มมูลค่าของโครงการ
โดยผู้ลงทุนที่เข้ามาซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนของ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะได้ผลตอบแทนในอัตรา 6% ในช่วง 3 ปีแรก และเมื่อระบบเข้าที่ในปีที่ 4 เป็นต้นไปจะได้ในรูปของ Profit Sharing ไปตลอด 30 ปี จากการนำห้องชุดที่ซื้อไว้มาปล่อยเช่า ซึ่งเจ้าของยังสามารถมาใช้บริการห้องพักของตนเองได้ 14 วัน แต่หากต้องการพักมากกว่ายังได้รับสิทธิพิเศษด้วย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของห้องที่มาพักหรือผู้เช่า จะได้รับการบริการและการดูแลตามมาตรฐานโรงแรมหรู ไม่ต่างจากการบริการของโรงแรมชั้นนำด้วย หรือเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ต้องการขายอสังหาฯ ที่ซื้อไว้ก็สามารถทำได้ แถมยังได้ capital Gain จากราคาที่ดินและมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้นด้วย ถือเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และผู้สนใจลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้ทั้งการเป็นเจ้าของและยังได้ผลตอบแทนจากกลับมา ทั้งรูปแบบ Capital gain และ Rental yield ด้วย
ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมาแล้วกว่า 12 โครงการ โดยเฉพาะในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่ได้ดึงแบรนด์โรงแรมชั้นนำของโลกเข้ามาบริหารถึง 4 แบรนด์ ได้แก่ ครอสทู , วินด์ดัม, เบสท์ เวสเทิร์น และรามาด้า บาย วินด์ดัม ล่าสุด ได้จับมือกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) และ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13) มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารที่พักอาศัย “เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์” (JRE Development) บริษัทลูกของ “แจลุกซ์” (JALUX Inc.) จากญี่ปุ่นมาบริหาร สร้างมูลค่าเพิ่มและเสริมจุดแข็งให้กับโครงการด้วย
เปิดอาณาจักร JALUX
สำหรับแจลุกซ์ หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่าบริษัทนี้ดำเนินธุรกิจอะไรบ้าง มีบทบาทและความสำคัญอย่างไร ซึ่งความเป็นจริงแจลุกซ์ มีธุรกิจหลากหลาย ทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ มีบริษัทในเครือกว่า 10 แห่ง ปัจจุบันมี 4 กลุ่มธุรกิจสำคัญ ประกอบด้วย
1. กลุ่มธุรกิจการบินและสนามบิน (Aviation & Airport Unit) โดยจำหน่ายและให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจการบิน ไม่ว่าจะเป็นระบบเครื่องบิน อุปกรณ์ ชิ้นส่วน การรับบริหารสนามบิน เช่น บริหารสนามบิน Mandalay International Airport และ Wattay International Airport in Vientiane, Lao PDR
2. กลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Retail Unit) ได้แก่ บริหารร้านค้าปลอดภาษี ร้านจำหน่ายสินค้าของฝาก ภายในสนามบิน ชื่อร้าน BLUE SKY จำนวน 74 ร้านค้า และ JAL Duty Free จำนวน 11 ร้าน ใน 27 สนามบินของประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศไทย ได้จัดตั้งบริษัท Jalux Asia จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายขนมและช็อคโกแลตของ Royce และมี Japan Station จำหน่ายขนมนำเข้าจากญี่ปุ่น อยู่ในห้างสรรพสินค้า อาทิ สยามพารากอน ไอคอนสยาม เอ็มโพเรียม เป็นต้น
3. กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage Unit) ดำเนินธุรกิจด้านนำเข้า ส่งออกสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากทะเล ผลผลิตทางการเกษตร และไวน์ ในประเทศญี่ปุ่น และในไทยจัดตั้ง J Value Co.,Ltd. เพื่อนำเข้าสินค้าทางทะเล และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากญี่ปุ่นมาขายในไทย และมีหน้าร้านที่ตลาดญี่ปุ่น “Thonglor Nihon Ichiba” บริเวณทองหล่อ ซอย 13 ด้วย
4. กลุ่มธุรกิจ Life Service Unit เป็นการบริการด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบสะพาน และวัสดุในการซ่อมแซมถนน การรับประกันภัยทั้งบุคคลและองค์กร ที่สำคัญ กลุ่มธุรกิจนี้ ยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านการก่อสร้าง การพัฒนาที่ดิน และการบริหารจัดการต่างๆ โดยเฉพาะประเภทที่อยู่อาศัย รวมถึงให้บริการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งแบบรายวันและแบบระยะยาว
โดยบริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารที่พักอาศัย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ “แจลุกซ์” อยู่ในกลุ่มธุรกิจนี้ด้วย หลังจากมีประสบการณ์การบริหารอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศญี่ปุ่นมายาวนานตั้งแต่ปี 2505 ได้บริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยมากว่า 3,500 ยูนิต มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 95% จนเดือนเมษายน 2558 ได้ขยายการลงทุนนอกประเทศ ด้วยการเลือกประเทศไทยประเทศแรกในการจัดตั้งบริษัท เจอาร์อีฯ ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 27.78 ล้านบาท โดยพัฒนาเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการรับบริหารจัดการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ในไทย ภายใต้แบรนด์ลักซ์เซ (L’axe) ที่ปัจจุบันเป็นเจ้าของและบริหารจัดการ L’axe Sriracha JALUX Serviced Residence ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกของประเทศไทย
ตอบโจทย์ชีวิตด้วยบริการระดับพรีเมียมมาตรฐาน L’axe JALUX
ล่าสุดกับการร่วมมือกันระหว่าง ฮาบิแทท กรุ๊ป กับ แจลุกซ์ ในครั้งนี้ได้สร้างสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการต่างๆ ตามมาตรฐานของ L’axe JALUX ให้กับผู้พักอาศัยภายในโครงการ ทั้งกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่อยู่อาศัยในประเทศไทย และกลุ่มที่เดินทางมาทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาดสำคัญของทั้งสองโครงการ ทำให้เจ้าของห้องชุดของโครงการวาลเด้นทองหล่อ (Walden Thonglor) ทั้งสองแห่ง จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างคุ้มค่า
โดยผู้พักอาศัยภายในโครงการจะได้รับการบริการต่างๆ ตามมาตรฐานของ L’axe JALUX ได้แก่
- บริการทำความสะอาด ซักรีด
- บริการเจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่นตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำเกี่ยวกับสัญญาหรือขั้นตอนต่างๆ
- การสะสมไมล์ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์
- บริการชัตเติลบัส
- บริการรับส่งเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง
- บริการพิเศษสำหรับลูกค้าชาวญี่ปุ่น คือ บริการจัดหาครูสอนวิชาต่างๆ ให้กับแม่บ้านชาวญี่ปุ่น อาทิ สอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ โยคะ อาหารไทย เป็นต้น ที่สำคัญอัตราค่าบริการพิเศษต่างๆ สามารถปรับเพิ่มหรือลดได้ตามความต้องการ แบบยืดหยุ่นและความเหมาะสมของลูกค้า
WALDEN THONGLOR
การลงทุนซื้อคอนโดฯ เพื่อนำมาปล่อยเช่าในปัจจุบัน อาจจะสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยเฉพาะในโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดี และมีรูปแบบโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย แต่ต้องยอมรับว่าปัจจุบันคู่แข่งมีจำนวนมาก เพราะทุกคนมองเห็นโอกาสเดียวกัน และหลายครั้งอาจจะพบปัญหาความยุ่งยากในด้านการบริหารจัดการ แต่สำหรับโครงการวาลเด้นทองหล่อทั้งสองโครงการ มี แจลุกซ์ มาช่วยบริหารจัดการ ทำให้เจ้าของห้องหมดปัญหากวนใจ
และยังเป็นการบริหารที่มุ่งเน้นจับตลาดกลุ่มนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น และบริหารงานโดยผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องคู่แข่งที่มีน้อยกว่า เพราะชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องของมาตรฐานการบริหาร และเชื่อมั่นในการบริหารงานกับบริษัทชาวญี่ปุ่นด้วยกันเอง ทำให้เจ้าของห้องมั่นใจได้ว่า จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
นอกจากนี้ สถิติปัจจุบัน พบว่า มีชาวญี่ปุ่นที่อาศัยและทำงานในประเทศไทยมากกว่า 70,000 คน ขณะเดียวกันชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศไทยก็มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย ทำให้เป็นโอกาสทางการตลาดในการที่กลุ่มคนเหล่านี้ จะเป็นกลุ่มลูกค้าในการเช่าพักอาศัยภายในโครงการด้วย เจ้าของห้องชุดโครงการวาลเด้น ทองหล่อ ทั้งสองแห่งจึงมั่นใจได้ว่าจะมีกลุ่มลูกค้าเข้ามาได้อีกจำนวนมากในอนาคต ซึ่งย่านทองหล่อเองก็เป็นแหล่งชุมชนที่พักอาศัยหลักของชาวญี่ปุ่นด้วย
สำหรับ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ 8 ชั้น จำนวน 117 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 7.9 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 8 ห่างจากถนนเส้นหลักเพียง 100 เมตร ประกอบด้วยห้องชุด 4 แบบ คือ
- ห้องชุดแบบOne Bedroom ขนาดพื้นที่ 32 ตารางเมตร
- ห้องชุดแบบOne Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ 40-47 ตารางเมตร
- ห้องชุดแบบTwo Bedroom ขนาดพื้นที่ 45-58 ตารางเมตร
- ห้องชุดแบบTwo Bedroom Deluxe ขนาดพื้นที่ 59-71 ตารางเมตร)
ส่วนโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 เป็นคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ 8 ชั้น จำนวน 122 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 6.9 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุด 3 แบบ ได้แก่
- แบบOne Bedroom ขนาดพื้นที่ 36 – 50 ตารางเมตร
- แบบOne Bedroom Plus 41 – 46 ตารางเมตร
- แบบTwo Bedroom 51 – 68 ตารางเมตร
ทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก ปี 2565
ลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม และสิทธิพิเศษได้ที่ >> https://bit.ly/2BuLWaY
ส่วนลดสูงสุดถึง 400,000 บาท* สัมผัสห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ Sale Gallery ทองหล่อ ซ.5