ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นับเป็นดิสรัปชั่นครั้งใหญ่ของผู้ประกอบการทั่วโลก เพราะได้สร้างผลกระทบมากมายต่อทุกวงการธุรกิจให้ต้องปรับตัวและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ผู้คนต้องออกมาใช้ชีวิตกันเป็นจำนวนมากอย่างห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการจำต้องมีแผนการป้องกันอย่างเข้มงวด โดย “เซ็นทรัล รีเทล” ได้เตรียมยกระดับมาตรการรักษาความสะอาดอย่างเข้มข้นด้วยระบบอัจฉริยะ เพื่อดูแลสุขอนามัยของลูกค้าและพนักงานที่เข้ามาใช้บริการอย่างเข้มงวด พร้อมงัดยุทธศาสตร์ 5 ข้อ รับมือความท้าทายในยุค Now Normal จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง
ญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทีมผู้บริหารได้ติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และวางแผนรับมือกับวิกฤตมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้นำ “Central Retail & Service Platform” มาเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันธุรกิจค้าปลีกและบริการของประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มนี้ จะเน้นความสำคัญ 2 เรื่องหลักคือ 1. เรื่องความสะอาดและสุขอนามัย โดยยึดมั่นและปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ พร้อมยกระดับการรักษาความสะอาดด้วยระบบอัจฉริยะให้เข้มข้นยิ่งขึ้น และ 2. เรื่องการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก และเชื่อมโยงประชาชนทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ ให้มาอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ เพื่อกระตุ้นการสร้างงาน สร้างรายได้ ลดค่าครองชีพ ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน ด้วยแผน “ยุทธศาสตร์ 5 พร้อม” ที่จะตอบโจทย์ความท้าทายในยุคนิวนอร์มอล (New Normal) ซึ่งได้พัฒนาไปสู่ความเป็น นาวนอร์มอล (NOW NORMAL) หรือ “โลกแห่งวิถีชีวิตปัจจุบัน” อย่างแท้จริง
1.พร้อม…พลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ด้วยการช่วยเหลือครบวงจร
โดยการดึงแรงงานไทยกว่า 19 ล้านคน จากทั้งหมด 33 ล้านคน กลับเข้าสู่ “Central Retail & Service Platform” ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มอัตราการจ้างงาน และพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก พร้อมจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าฟรีทั่วไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ณ ศูนย์การค้าในเครือ อาทิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์, ท็อปส์ พลาซ่า และไทวัสดุ รวมถึงช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ ท็อปส์ ออนไลน์, เซ็นทรัล ออนไลน์ และโรบินสัน ออนไลน์ ทั้งยังเพิ่มปริมาณการรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรและสินค้าชุมชน จาก 1,170 ชุมชนทั่วประเทศ จำนวน 9,000 รายการ พร้อมเปิดพื้นที่จำหน่ายที่ท็อปส์, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และจริงใจ มาร์เก็ตทุกสาขา เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรกว่า 24,000 ครัวเรือนให้มีรายได้ พร้อมกับล็อกราคาสินค้ากว่า 23,000 รายการ นาน 3 เดือน และร่วมกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ลดราคาสินค้า 5-68% กว่า 3,000 รายการ ตลอดปี 2563 ที่ท็อปส์ และแฟมิลี่มาร์ททุกสาขา
2.พร้อม…ยกระดับมาตรฐานความสะอาดต่อยอดความแข็งแกร่งระบบสาธารณสุขไทย
โดยมีการปฏิบัติตามนโยบายป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด เช่น การสวมหน้ากาก ตรวจวัดอุณหภูมิ บริการเจลล้างมือ พนักงานสวมใส่ Face shield และถุงมือ เป็นต้น รวมทั้งนำเทคโนโลยีมาเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้ลูกค้าและพนักงานอย่างไร้กังวล ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีการอบโอโซน และ UVC มาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคบนธนบัตร รวมถึง หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี-ซี และ เครื่องช่วยวัดอุณหภูมิอัจฉริยะ พร้อมจำกัดจำนวนคนเข้าศูนย์ฯ 1 คน ต่อ 5 ตร.ม. และจัดระยะห่างบริเวณจุดต่างๆ เช่น จุดชำระเงิน ลิฟต์ บันไดเลื่อน และที่นั่งของ Delivery man ทั้งยังจัดทำระบบ Safety Tracking เพื่อติดตามข้อมูลสุขภาพของพนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการ
3.พร้อม…ใช้นวัตกรรมสร้างประสบการณ์ใหม่ ตอบโจทย์ลูกค้ายุค Seamless & Contact-free Economy
โดยการชำระเงินแบบไร้สัมผัส ด้วยแอปพลิเคชั่น “Dolfin” จากเซ็นทรัล เจดี ฟินเทค (บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัล และเจดี ดิจิตอล) ซึ่งสามารถสแกนจ่ายเงินได้ทันที โดยไม่ต้องจับเงินสด หรือบัตรเครดิต ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กว่า 3,100 จุดทั่วประเทศ พร้อมบริการเพิ่มเติมจากแอปพลิเคชันที่มอบประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร อาทิ บริการ “Order & Collect” คลิกสั่งไว ไร้สัมผัส จ่ายเงินง่ายในแอป และรับของได้ที่หน้าร้าน เริ่มใช้แล้วที่ท็อปส์ 10 สาขานำร่องและร้านอาหารในเครือเซ็นทรัลฯ พร้อมทั้งยังมีบริการตอบสนองความต้องการด้วย Omnichannel Personalization ผ่าน Digital Platform ให้ลูกค้าสะสม และใช้ Digital Voucher เมื่อจ่ายผ่านแอป Dolfin และรับ The 1 Point เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่จ่าย
4.พร้อม…ต้อนรับ และให้บริการลูกค้าทุกช่องทางในยุค NOW NORMAL
ขณะเดียวกัน ยังมีบริการช้อปปิ้งในรูปแบบต่างๆ รองรับทุกความต้องการ ผ่านแพลตฟอร์มออมนิแชแนล ดังนี้
- กลุ่มชอบคลิก : บริการ application และ webstores
- กลุ่มชอบแชต : Chat & Shop สั่งสินค้าผ่าน Line Official Account พร้อมพนักงานและ
แชทบอทพูดคุย และให้คำแนะนำ เสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวในการช้อปปิ้ง และมีการพัฒนาระบบดิลิเวอรี่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น - กลุ่มชอบโทร : บริการ Call & Shop สั่งสินค้าผ่าน Call Center โดยจะมีพนักงานคอยสนทนา และให้ความช่วยเหลือในการช้อปปิ้งเป็นรายบุคคล สามารถเลือกส่งสินค้าที่บ้าน หรือมารับเองที่สาขาก็ได้
- กลุ่มชอบความสะดวก : บริการ Drive Thru บริการพนักงานส่งสินค้าถึงรถ สะดวก ง่าย ปลอดภัย ไม่ต้องลงจากรถ บริการ Click & Collect สั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และมารับได้ที่สาขา และ บริการ E-ordering กรณีสินค้าไม่มีจำหน่ายในร้าน พนักงานขายหน้าร้านสามารถใช้แท็บเล็ตเช็คสต๊อกสินค้าออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ เพื่ออำนวยสะดวก และประสานให้ลูกค้ามารับสินค้าได้ภายหลัง หมดปัญหาเรื่องพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้า ไม่ว่าร้านเล็กหรือใหญ่ก็มีสินค้าครบทุก SKU เหมือนกัน โดยเริ่มบริการนี้แล้วที่เพาเวอร์บาย และจะขยายต่อให้ครบทุกธุรกิจในเครือ
- กลุ่มชอบจองก่อนใคร : บริการ Reserve & Collect กดจองสินค้าออนไลน์ แล้วมาชมสินค้าจริง หรือทดลองก่อนตัดสินใจซื้อ พร้อมชำระเงินได้ที่สาขา ภายในเวลา 24 ชั่วโมงหลังกดจองสินค้า และ บริการ 1-hour pickup ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และมารับที่สาขาได้ภายใน 1 ชั่วโมง เลือกชำระเงินได้ทั้งช่องทางออนไลน์ หรือหน้าร้าน
5.พร้อม…เร่งเครื่องแพลตฟอร์ม Central Retail & Service อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ เซ็นทรัล รีเทล ยังรุกลงทุนต่อเนื่องทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยี รวมถึงไปถึงการขยายสาขาต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และเวียดนาม เช่น ไทวัสดุ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ท็อปส์ มาร์เก็ต และ GO! เวียดนาม โดยจะนำโมเดลต้นแบบออมนิแชแนลที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย ต่อยอดไปยังธุรกิจต่างประเทศ อาทิ บริการออนไลน์ และออมนิแชแนล ที่จะเปิดตัวที่รีนาเชนเต ประเทศอิตาลี ในเดือนมิถุนายนนี้ รวมถึงเหงียนคิม ในประเทศเวียดนามที่เตรียมเปิดตัวบริการออมนิแชแนลด้วยเช่นกัน
“New Normal ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้กลายมาเป็น NOW NORMAL ของการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจในวันนี้ ซึ่งเซ็นทรัล รีเทลมั่นใจว่า “ยุทธศาสตร์ 5 พร้อม” และ “Central Retail & Service Platform” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มของคนไทย สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของคนไทย จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทุกภาคส่วน โดยเฉพาะด้านสุขอนามัย อันจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ภาครัฐ ภาคเอกชน คนไทยทุกคน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่กำลังจะกลับเข้ามาในประเทศ และสามารถตอบโจทย์การเป็นแพลตฟอร์มของทุกคนได้อย่างแท้จริง”