ถึงเวลาต้องสร้างคนสายเทคโนโลยีเพิ่ม? Eric Schmidt อดีตซีอีโอ Google เตรียมเปิดโรงเรียน The US Digital Service Academy หวังป้อนผู้เชี่ยวชาญด้าน AI เสริมแกร่งประเทศ
เพราะโลกยุคไร้พรมแดนน่าจะจบลงแล้วอย่างแท้จริง จากการระบาดของ Covid-19 รวมถึงสงครามเย็นระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และจีนที่กำลังปะทุหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้มีผลให้การย้ายถิ่นฐานของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างสะดวกเหมือนในอดีต ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่เห็นคู่แข่งอย่างจีนแผ่นดินใหญ่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน
ด้วยเหตุนี้ การเคลื่อนไหวของ Eric Schmidt อดีตซีอีโอ Google จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง กับการอาสาลงมาช่วยสร้างบุคลากรทางไอทีให้กับประเทศเสียเลย โดยข้อมูลจาก Dave Gershgorn แห่ง OneZero เผยว่า Eric Schmidt ได้ร่วมกับ Robert Work อดีตผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา เปิดตัว “มหาวิทยาลัย” เพื่อสร้างนักเขียนโปรแกรมรุ่นใหม่ป้อนให้กับประเทศในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้าน CyberSecurity, AI ฯลฯ แล้ว โดยใช้ชื่อว่า The US Digital Service Academy และมีคณะกรรมการความมั่นคงแห่งชาติด้านปัญญาประดิษฐ์ (the National Security Commission on Artificial Intelligence) ให้การสนับสนุน
โดยที่ผ่านมา แหล่งผลิตหัวกะทิด้านเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา หลัก ๆ มาจากสองสถาบันการศึกษาดังอย่างมหาวิทยาลัย Stanford กับ MIT ขณะที่ในโลกการทำงาน พื้นที่อย่าง Silicon Valley ก็คือหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของประเทศ แต่ส่วนใหญ่ของคนไอทีเหล่านี้ถูกผลิตเพื่อเน้นไปที่การทำงานให้ภาคธุรกิจ
การมี The US Digital Service Academy เพิ่มเข้ามาจึงอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ “คนไอที” ของภาครัฐมากกว่าอีกสองสถาบันก็เป็นได้
ส่วนงานอะไรที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้คนสายเทคโนโลยีเข้ามาช่วยนั้น นี่อาจเป็นตัวอย่างที่ดี
ภาพด้านบนคือการสร้าง Virtual Surveillance Wall ผลงานของ Anduril Industries สตาร์ทอัพด้านการทหาร ที่ใช้ AI, กล้องดิจิทัล และอุปกรณ์ตรวจจับอุณหภูมิ มาตรวจจับวัตถุที่ข้ามเขตแดนโดยอัตโนมัติ และเมื่อทำงานร่วมกับ AI ก็จะช่วยวิเคราะห์ให้ว่า วัตถุที่ระบบจับความเคลื่อนไหวได้นั้น ใช่ “คน-ยานพาหนะ” หรือเปล่า
หากใช่ ระบบจะทำการส่งพิกัด และภาพมายังเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้การสอดส่องการข้ามเขตแดนทำได้สะดวกมากขึ้น และไม่ต้องละลายงบประมาณมหาศาล 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างกำแพงแบบที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ด้วย