มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศไทย อยู่ที่กว่า 64,700 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดกาแฟในบ้าน 38,000 ล้านบาท และตลาดกาแฟนอกบ้าน 26,700 ล้านบาท ในมูลค่าตลาดกาแฟนอกบ้านโดยรวม เป็นมูลค่าธุรกิจร้านกาแฟกว่า 17,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 15.7% ต่อปี
ถึงแม้ตลาดกาแฟสำเร็จรูปมี Market Size ใหญ่กว่าตลาดร้านกาแฟสด แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าการเพิ่มขึ้นของ “ธุรกิจร้านกาแฟสด” และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของตลาดกาแฟสำเร็จรูปที่มี “เนสกาแฟ” เป็นพี่ใหญ่ในการทำตลาดกาแฟสำเร็จรูปมานาน
ความเป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมกาแฟ จำเป็นอย่างยิ่งที่ “เนสกาแฟ” ต้องสร้าง Business Ecosystem ทั้ง 2 ตลาดที่ครอบคลุมทั้งกลุ่มธุรกิจ B2C และ B2B คือ
“การบริโภคภายในบ้าน” เนสกาแฟเจาะตลาดนี้มานาน จนมีรากฐานแข็งแกร่งในตลาดกาแฟสำเร็จรูป
“ธุรกิจร้านกาแฟสด” เนื่องจากทุกวันนี้ธุรกิจร้านกาแฟในไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว สอดคล้องกับการดื่มกาแฟนอกบ้านในเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจาก
– คนไทยมีความรู้ความเข้าใจการดื่มกาแฟมากขึ้น โดยบางคนมีความรู้ความเข้าใจลงลึกในระดับ Seed to Cup คือ ศึกษาตั้งแต่แหล่งปลูกกาแฟ กระบวนการคั่วกาแฟ ไปจนถึงออกมาเป็นเมนูกาแฟต่างๆ
– การขยายตัวของสังคมเมือง ที่ทำให้คนใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น
– การเพิ่มขึ้นของธุรกิจร้านกาแฟสด ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทยไปแล้ว
– การพัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟหลากหลายเมนู
– คนไทยเริ่มต้นดื่มกาแฟตั้งแต่อายุน้อยลง มีจำนวนเพิ่มขึ้น
จากปัจจัยข้างต้นทำให้ “เนสกาแฟ” เปิดโมเดลธุรกิจ “ร้านกาแฟสด” ในไทย เริ่มต้นด้วยการทำ “Nescafé Hub” (เนสกาแฟ ฮับ) เมื่อช่วงกลางปี 2561 โดยเน้นขยายสาขาตามสถานีรถไฟฟ้า สาขาแรกที่บีทีเอสชิดลม เพื่อตอบโจทย์ Grab and Go รวมทั้งจับมือกับพาร์ทเนอร์กลุ่มธุรกิจต่างๆ เปิดในรูปแบบ Pop-up Store
ผลปรากฏว่าได้การตอบรับจากผู้บริโภค “เนสกาแฟ” รุกเดินหน้าขยายสาขา “Nescafé Hub” ต่อ โดยตั้งเป้าภายในปี 2563 ต้องมี 50 สาขา ทั้งใจกลางกรุงเทพฯ และศูนย์กลางการขนส่ง
หลังจากชิมลางกับธุรกิจร้านกาแฟสดที่เนสกาแฟเป็นผู้ลงทุนเอง เพื่อเจาะตลาด End Consumer (B2C) มาได้สักพัก ล่าสุด “เนสกาแฟ” ภายใต้กลุ่มธุรกิจ “Nestle Professional” (เนสท์เล่ โพรเฟชชันนัล) ที่ดูแลตลาด B2B กลุ่มฟู้ดเซอร์วิส ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเครื่องดื่ม สถาบันการศึกษา และสำนักงานในทุกช่องทาง เปิดตัวโมเดลธุรกิจร้านกาแฟสดครบวงจร หรือ One-stop Solution ภายใต้แบรนด์ “Nescafé Street Café” สำหรับผู้ที่สนใจอยากทำธุรกิจร้านกาแฟสด หรือผู้ประกอบการที่ต้องการต่อยอดธุรกิจเดิม หรือหาช่องทางธุรกิจใหม่ สามารถเปิดร้านกาแฟสด “Nescafé Street Café” โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้น 169,000 บาท
ตีโจทย์ Pain Point คนอยากเปิดร้านกาแฟ
ที่มาของการสร้างโมเดลธุรกิจ One-stop Solution ร้านกาแฟสด “Nescafé Street Café” เจาะกลุ่มผู้ประกอบการ หรือคนที่สนใจอยากเปิดร้านกาแฟสด นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังพบว่ามีช่องว่างทางธุรกิจที่แบรนด์เนสกาแฟ สามารถเจาะเข้าไป คือ ผู้ประกอบการ หรือคนที่อยากเปิดร้านกาแฟสด แต่การจะเปิดร้านกาแฟสด ไม่ใช่เรื่องง่าย และที่ผ่านมาพบว่าในขณะที่จำนวนร้านกาแฟสดในไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจสุดฮิตของคนที่อยากมีกิจการของตัวเอง ก็จะมาเปิดร้านกาแฟสด
แต่ในโลกความเป็นจริง! ต้องเจอปัญหามากมาย…
- ไม่มีทักษะการชงกาแฟ ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มไม่มีมาตรฐาน
- ไม่มีประสบการณ์เปิดร้านหรือการทำธุรกิจมาก่อน จึงขาดความรู้ในการคำนวณต้นทุนและราคาขาย
- ไม่มีความชำนาญในการหาและคัดเลือกแหล่งเมล็ดกาแฟ
- ไม่มีบาริสต้าช่วยพัฒนาสูตรเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคต้องการ
- ไม่มีข้อมูลและเวลาในการเปรียบเทียบราคาจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ เข้าร้าน
- ไม่มีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักและฐานลูกค้า
“Nestle Professional” จึงได้ออกแบบโมเดลธุรกิจร้านกาแฟสดภายใต้แบรนด์ “Nescafé Street Café ขึ้นมา ในรูปแบบ One-stop Solution สำหรับผู้ประกอบการที่มีความสนใจต่อยอดธุรกิจเดิม หรือหาช่องทางธุรกิจใหม่ หรือผู้ที่อยากหาธุรกิจเสริม
จะเปิดร้าน “Nescafé Street Café ต้องทำอย่างไร และผู้ประกอบการจะได้อะไร ?
เงื่อนไข และ One-stop Solution ที่ผู้อยากเปิดร้านกาแฟสด Nescafé Street Café ประกอบด้วย
- ต้องมีทำเลที่ดีอยู่ในมือ เช่น ในย่านใจกลางเมือง, ย่านออฟฟิศ, ส่วนราชการ, มหาวิทยาลัย, สถานที่ท่องเที่ยว, ภายในโรงพยาบาล หรือศูนย์การค้า
- ลงทุนเริ่มต้น 169,000 บาท จากราคาปกติ 300,000 บาท สำหรับอายุสัญญา 2 ปี
- ไม่มีการเก็บค่า GP รายเดือนจากยอดขาย
- ค่าธรรมเนียมรายปีเพียง 39,000 บาท
- จัดเตรียมสูตรเครื่องดื่มขายดี 16 เมนู ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น ทั้ง coffee และ non-coffee รวมทั้งเมนูพิเศษทุก 3 เดือน
- จัดเตรียมวัตถุดิบในการชงกาแฟและเครื่องดื่มทั้ง 16 เมนู พร้อมบริการสั่งซื้อที่สะดวกและบริการจัดส่งวัตถุดิบถึงร้าน
- คัดสรรเมล็ดกาแฟคุณภาพยอดเยี่ยมที่ใช้เทคโนโลยีการคั่วจากโรงงานเนสท์เล่ที่มีความเชี่ยวชาญในการคั่วและผลิตกาแฟมาอย่างยาวนาน
- จัดเตรียมอุปกรณ์ในการเปิดร้าน เครื่องบดเมล็ดกาแฟ และเครื่องชงกาแฟให้ครบครัน
- ทำเลที่ตั้งร้านแต่ละสาขามีระยะห่างจากกันไม่น้อยกว่ารัศมี 5 กิโลเมตร
มีหลักสูตรฝึกอบรมจาก Nescafé Café Academy ถ่ายทอดความรู้เรื่องกาแฟสดให้กับผู้ประกอบการให้ได้เรียนรู้ด้านทฤษฎีและการลงมือปฏิบัติจริง ตั้งแต่การสกัดช็อตกาแฟ การชงเครื่องดื่มอย่างมืออาชีพ การบริการจัดการร้านให้ได้กำไร รวมทั้งคำปรึกษาด้านสูตรเครื่องดื่มต่าง ๆ
ในที่สุดแล้ว หาก “Nescafé Street Café” ประสบความสำเร็จ ได้การตอบรับจากผู้ที่สนใจอยากเปิดธุรกิจร้านกาแฟสด เท่ากับว่าเป็นการเติมเต็ม Business Ecosystem ของเนสกาแฟให้ครบวงจรยิ่งขึ้น และผลักดันแบรนด์เนสกาแฟ เข้าไปอยู่ทุกโมเมนต์ชีวิตประจำวันคนไทย ทั้งการบริโภคภายในบ้าน-ออฟฟิศ และการบริโภคนอกบ้าน ผ่านโมเดลธุรกิจครอบคลุมทั้งในรูปแบบ Retail Product จำหน่ายในช่องทางรีเทล, โมเดล B2C “Nescafé Hub” และโมเดล B2B “Nescafé Street Café” สร้างฐานกลุ่มลูกค้าร้านกาแฟสด ซึ่งเป็นคนกลางสำคัญที่จะเป็นอีกหนึ่งขาสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์เนสกาแฟ และเป็น Network เชื่อมต่อถึง End Consumer
ในที่สุดแล้วสิ่งที่เนสกาแฟจะได้ นอกจากเจาะตลาดทั้งร้านค้าผู้ประกอบการ และผู้บริโภคทั่วไปแล้ว ยังได้ฐานข้อมูล (Big Data) ทั้งสองกลุ่มตลาด เช่น ข้อมูลการสั่งสินค้าเข้าร้าน เช่น เมล็ดกาแฟคั่วบดจากทางร้านผู้ประกอบการ, การสั่งซื้อเครื่องดื่มของผู้บริโภค เครื่องดื่มประเภทไหน – เมล็ดกาแฟแบบไหนได้รับความนิยม ทำให้รู้ความเคลื่อนไหวของตลาด และพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทย
ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวิเคราะห์ เพื่อต่อยอดไปสู่การพัฒนาสินค้า – บริการ รวมไปถึงการสร้าง Business Model ใหม่ๆ ได้ในอนาคต
Credit Photo (รูปที่ 3): NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand