HomePR News“Yves Rocher” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 60 ปี เร่งปรับทัพรับเทรนด์ตลาด สร้าง Brand Love เจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ตั้งเป้าที่ 1 ในใจ แบรนด์บิวตี้รักษ์โลก [PR]

“Yves Rocher” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบ 60 ปี เร่งปรับทัพรับเทรนด์ตลาด สร้าง Brand Love เจาะกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ ตั้งเป้าที่ 1 ในใจ แบรนด์บิวตี้รักษ์โลก [PR]

แชร์ :

Yves Rocher (อีฟ โรเช่) แบรนด์ความงามอันดับ 1 จากประเทศฝรั่งเศส พลิกโฉมครั้งใหญ่ในรอบ 60 ปี เตรียมปรับภาพลักษณ์ให้ดูแอคทีฟเพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่และขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น แต่ยังชูกลยุทธ์แบรนด์เน้น “สวยโลกไม่เสีย” และพยายามรักษาฐานลูกค้าเก่าที่มี ด้วยการสร้าง Brand Love ผ่าน Omni-Channel และ CRM เพื่อสื่อสารกับลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างตรงจุดและตรงใจ เดินหน้ารุกตลาดออนไลน์ พร้อมเตรียมสร้างโซเชี่ยลเซลลิ่งอัดแคมเปญใหญ่ “ช้อป แชร์ ได้เงินชิลชิล” หวังดึงลูกค้ายุคดิจิตัล ตั้งเป้าครองแชมป์แบรนด์เลิฟกรีนบิวตี้อันดับ 1 มั่นใจดันยอดขายเติบโตเท่าตัวภายใน 3 ปี คาดยอดขายปี 2564 โตขึ้น 7% แบ่งเป็นตลาดออนไลน์ 40% ตลาดออฟไลน์ 60%

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คุณวิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“อีฟ โรเช่ ทำการรีแบรนด์ครั้งใหญ่และเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ประกาศปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ (Creative Identity) พร้อมกันทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย โดยมุ่งเน้นปรับ Mood & Tone ของผลิตภัณฑ์และภาพลักษณ์โฆษณาต่างๆ ให้มีสีสันสดใสขึ้นที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติรอบตัวที่บ้านเกิดแบรนด์ เมืองลา กาซิลี แคว้นบริตทานี ฝรั่งเศส ทั้งป่า มหาสมุทร หรือแม้กระทั่งมอสที่ขึ้นตามพื้นดิน เป็นการแสดงความหมายของธรรมชาติแบบโมเดิร์นขึ้น และมีความแอคทีฟเพื่อสื่อถึงความเป็นแอคทิวิสมากยิ่งขึ้น COMMITTED BUT POSITIVE. AUTHENTIC BUT MODERN.”

“โดยเริ่มจากโลโก้ ซึ่งนำคำว่า Bretagne, France (บริตทานี ประเทศฝรั่งเศส) และสัญลักษณ์ธงชาติฝรั่งเศสประทับลงบนทุกผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ที่ดีไซน์ตามส่วนประกอบจากธรรมชาติในสินค้านั้นๆ และยังได้เผย DNA ใหม่ของแบรนด์ ประกอบไปด้วย 4 แกน คือ Generosity (ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่), Positive Activist (จิตวิญญาณนักต่อสู้ในเชิงบวก), Rooted Entrepreneurial (หัวใจของความเป็นเจ้าของกิจการ) และ Honest (ความซื่อสัตย์จริงใจ) โดยยังคงยืนหยัดในมิชชั่นเรื่องสวยโลกไม่เสีย ให้คนและธรรมชาติเชื่อมโยงถึงกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งเน้นในส่วนนี้มากขึ้นไปอีก อาทิ ในเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป อีฟ โรเช่จะเป็นแบรนด์แรกในตลาด ที่ 100% ของสินค้าทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งสามารถนำไปรีไซเคิลได้ 100% และนอกเหนือจากการลดใช้พลาสติกแล้ว เรายังลดใช้สารต่างๆ ในสูตรผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมให้เป็นคลีนฟอมูลล่า และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์จากโรงงานผลิตให้มากขึ้นทุกปี ซึ่งการที่เราสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้เนื่องมาจากโมเดลที่ไม่มีตัวกลางในสายการผลิต ทุกอย่างปลูกเอง วิจัยเอง เก็บเกี่ยวเอง ผลิตเอง จนกระทั่งส่งตรงจากฝรั่งเศสถึงมือลูกค้าทั่วโลก เราจึงสามารถให้ความสำคัญของเรื่องนี้ได้เป็นอันดับหนึ่ง และจากการที่เราไม่ผ่านคนกลางจึงทำให้เราสามารถคุมราคาให้ผู้บริโภคจับต้องได้ทุกคน ส่วนในเรื่องของ ‘สวยโลกไม่เสีย’ นั้นในปีหน้าเราจะมีอีกหลายๆ กิจกรรมออกมาอย่างต่อเนื่องแน่นอน เช่น การเปิดบริการรีฟิลเติมสินค้าที่ร้าน เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์ให้ใช้ซ้ำได้ หรือการเลิกใช้พลาสติก Wrap ทั้งหมด ทำให้ลดการใช้พลาสติกไปได้ถึง 35 ตันต่อปี และการใช้ Cardboard Box รุ่นใหม่ ที่เป็น Recycle Paper ซึ่งมาจาก Sustainability Forest รวมถึงป้ายต่างๆ ในร้านที่จะเอาพลาสติกออกทั้งหมด” คุณวิลาสินี กล่าว

นอกจากนี้ คุณวิลาสินี ยังเผยอีกว่า จากข้อมูลพบว่ามูลค่าตลาดรวมของธุรกิจความงามและเครื่องสำอางในประเทศไทยอยู่ที่ 7.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกาต่อปี ซึ่งในปัจจุบันอาจมีอัตราที่ลดลงจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งในตลาดที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราต้องไม่หยุดพัฒนา และเป็นที่มาของการพลิกโฉมครั้งสำคัญ  อีฟ โรเช่ จึงได้เตรียมแผนการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ รวมถึงขยายการรับรู้ในการรีเฟรชครั้งนี้ผ่านพรีเซ็นเตอร์ อีฟ โรเช่ ของประเทศไทย ที่เตรียมเปิดตัวปลายปีนี้ เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างมากยิ่งขึ้น และคาดว่าผู้บริโภคจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ในภาพลักษณ์ใหม่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมตอกย้ำความเป็นแบรนด์ความงามอันดับ 1 จากประเทศฝรั่งเศส

“การรีแบรนด์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้หรือเปลี่ยนแพ็คเกจจิ้ง แต่เป็นการเปลี่ยนทั้งแนวคิดและแนวทางการทำธุรกิจเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน นอกเหนือจากนี้ Digitalized Omni-Channel เชื่อมโยงออฟไลน์ ออนไลน์ที่ได้เริ่มทำมาตั้งแต่หลัง Covid-19 จะมีการเสริมทัพด้วยอีกหนึ่งโปรแกรมที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้ คือ การขายด้วยรูปแบบโซเชี่ยลเซลลิ่ง (Social Selling) ที่จะสามารถเพิ่มรายได้เสริมจากการแชร์ข้อมูลสินค้าไปบน Social Media Platform ของสมาชิก ทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้ระบบ Omni-Channel และ CRM ที่คาดว่าจะสามารถเพิ่มฐานลูกค้าในกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ได้มากยิ่งขึ้น และมีส่วนผลักดันฐานรายได้ และยอดขายเติบโตขึ้นประมาณ 40% ในปีหน้า อีกทั้งแบรนด์ยังเตรียมทำการตลาดผ่านพรีเซ็นเตอร์ใหม่เพิ่มอีกถึง 2 คนในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในแบรนด์ทั้งในแง่ของการพรีเซนต์สินค้าและการทำกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างใกล้ชิดและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ ยังคงเน้นสินค้ากลุ่มสกินแคร์และแฮร์แคร์ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เตรียมทยอยออกสินค้าใหม่อีกหลายรายการ ซึ่งมั่นใจว่าสิ้นปีรายได้จะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้แม้จะเพิ่งผ่านสถานการณ์โควิดมา ควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ 100% และมีขั้นตอนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามเจตนารมณ์เดิมที่อยากมอบคุณค่าจากธรรมชาติสู่คนทั่วโลกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำธุรกิจ เพื่อสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคอยากซื้อสินค้าของแบรนด์และสามารถแก้โจทย์ลูกค้าได้อย่างยั่งยืน” คุณวิลาสินี กล่าวทิ้งท้าย

 


แชร์ :

You may also like