ในช่วงล็อกดาวน์เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา สิ่งที่หลายคนอาจจำได้ดีก็คือการปรับตัวสู่โลกออนไลน์ทั้งฝั่งของแบรนด์และผู้บริโภคกันอย่างคึกคัก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า การปรับตัวครั้งนั้นทำรายได้มหาศาลให้กับแพลตฟอร์มกลุ่ม Marketplace และ Food Delivery จนกลายเป็นกรณีศึกษาของปี 2020 ที่แวดวงการตลาดให้ความสนใจอย่างมาก
อย่างไรก็ดี หนึ่งปีผ่านไป ดูเหมือนว่าสถานการณ์คล้าย ๆ กันกับการล็อกดาวน์จะกลับมาอีกครั้ง เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ในประเทศไทยได้กลับมาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้ธุรกิจ SME ที่ไม่แข็งแรงต้องล้มหายตายจากไปอีกมาก เราจึงเริ่มเห็นการออกมาขององค์กรขนาดใหญ่เพื่อให้ความช่วยเหลือธุรกิจ SME กันมากขึ้น โดยหนึ่งในนั้นอาจเป็นการเปิดตัวแพลตฟอร์ม “V-Avenue.Co” ของเอไอเอสที่วางโพสิชันตัวเองเป็นศูนย์การค้าแบบเสมือนจริง กับการรวมร้านค้า SME กว่า 210 ราย และแบรนด์ต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ที่สำคัญ เอไอเอสบอกว่า จะไม่เก็บค่าธรรมเนียม (หรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่าค่า GP) จากร้านค้าที่เข้าร่วมบนแพลตฟอร์มนี้ โดยร้านค้าที่อยู่บน “V-Avenue.Co” ในช่วงเปิดตัวมีตั้งแต่กลุ่มร้านอาหาร ของหวาน เครื่องดื่ม เฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงกลุ่มสินค้าไลฟ์สไตล์ และแบรนด์ขนาดใหญ่ เช่น The Emporium, The Mall Lifestore Ngamwongwan, ALAND, Jung Saem Mool, Loft, TV Direct และ AIS Virtual Store
คุณปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS กล่าวว่า แพลตฟอร์ม V-Avenue.Co คือการต่อยอดจากการจัดมหกรรมสินค้า Thailand Virtual Expo เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวสามารถสร้างผู้เข้าร่วมงานได้กว่า 1 ล้านคน มาในปีนี้ เอไอเอสมองว่า เทคโนโลยี 5G สามารถสร้างการมีส่วนร่วมในสังคมได้มากขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจค้าปลีกที่ผู้บริโภคกำลังให้มองหาประสบการณ์ใหม่อย่าง AR/VR จากแบรนด์
“ในอนาคตเราวางแผนพัฒนาฟีเจอร์ให้ตอบโจทย์การช้อปปิ้งออนไลน์ ทั้งการ LIVE สด หรือการให้พนักงานขายสามารถพูดคุย – แนะนำลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าได้ นอกจากนั้น เรายังอาจเปิดพื้นที่ลานหน้าห้าง V Avenue ให้ผู้ประกอบการทุกขนาด เข้ามาใช้แพลตฟอร์มสร้างอีเวนต์ในรูปแบบ Virtual Expo จัดแสดงสินค้า จัดแสดงคอนเสิร์ต หรือจัดแสดงแฟชั่นโชว์ เพื่อต่อยอดเป็น Business Model ใหม่แห่งวงการ Marketplace ได้ด้วยนั่นเอง”
สร้างประสบการณ์ใหม่ “Ratail Touchnology”
แน่นอนว่า นอกจากช่วย SME และพาร์ทเนอร์ให้มีช่องทางในการขายเพิ่มขึ้นแล้ว อีกด้านหนึ่ง โปรเจ็ค V Avenue ก็คือการทดลองสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะในด้าน AR/VR ที่ผู้บริหารเอไอเอสมองว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในเวลานี้
“เรามองว่า เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถส่งต่อประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เทคโนโลยีเสมือนจริงได้รับการพัฒนาไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงมองว่า นี่คือการใช้เทคโนโลยีมาประยุกต์ให้เป็น Retail Touchnology ที่สามารถเกิดขึ้นได้แล้วอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งสำหรับ AIS เห็น เทรนด์นี้มาตั้งแต่ปี 2018 ที่เปิดให้บริการ NEXT G (4G+Super WIFI) จนกระทั่งปัจจุบันที่ให้บริการ 5G จึงตั้งใจนำมาประยุกต์กับการเชื่อมต่อประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า ผ่านการทำงานร่วมกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดังเช่น V Avenue ในวันนี้”
“สำหรับเรา คือเมื่อ 5G มา ก็ช่วยให้สามารถสัมผัส (touch) การ shopping ได้เสมือนจริงมากยิ่งขึ้น ผสานเข้ากับความตั้งใจในการช่วยอำนวยความสะดวกและแก้ pain point ก็ยิ่งเชื่อว่า จะสามารถช่วยสร้างมิติใหม่ของการใช้ชีวิตของคนยุคนี้ได้ครับ”
ทั้งนี้ผู้บริหารเอไอเอสยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงเทคโนโลยี 5G และ Virtual Reality (VR) ว่า จะเป็นกลไกสำคัญที่เข้ามามีบทบาทกับอุตสาหกรรมหลัก และชีวิตผู้คนในหลายแง่มุมนับจากนี้ไป
“เทคโนโลยี AR/VR จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจโลกเติบโตถึงราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (45 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030 และจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานทั่วโลกกว่า 23 ล้านตำแหน่ง ดังนั้น การนำศักยภาพของเทคโนโลยี 5G และ VR มาต่อยอดประสบการณ์ให้กับอุตสาหกรรมค้าปลีก และสร้างการเข้าถึงสินค้าและบริการจึงถือเป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยกระตุ้นและพลิกฟื้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์นี้”