ปัจจุบันประเทศไทยมี ผู้ประกอบการ SME ที่อยู่ในระบบกว่า 3 ล้านราย แต่ในความจริงแล้วยังมี SME อีกมากที่ไม่ได้อยู่ในระบบ จึงประมาณการว่าโดยรวมแล้ว ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมไม่ต่ำกว่า 9 ล้านราย!
แน่นอนว่าผู้ประกอบการ SME ทุกคนที่พัฒนาสินค้าออกมาแล้ว อยากมี “ช่องทางการจำหน่าย” ที่แข็งแกร่ง เชื่อว่าหนึ่งในช่องทางที่ SME อยากนำพาสินค้าของตัวเองเข้าไปขายคือ ช่องทางของ Modern Trade รายใหญ่ เพราะเชนค้าปลีกเหล่านี้ มีทั้งสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
และหนึ่งในเชนค้าปลีกที่ผู้ประกอบการ SME อยากนำสินค้าเข้าไปขายมากที่สุด คือ “โลตัส” (Lotus’s) ที่ปัจจุบันมี 2,084 สาขา และช่องทางออนไลน์
การนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในช่องทางของโลตัส ไม่ว่าจะสาขา (Physical Store) และออนไลน์ มีหลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่ทางโลตัสพิจารณาคัดเลือก ซึ่งหาก SME ดำเนินการตามนี้ ย่อมมีโอกาสจะเป็นคู่ค้าทางธุรกิจกับโลตัส
สำรวจ Power of Network ช่องทางจำหน่าย “โลตัส” และฐานลูกค้าในไทย
ปัจจุบันโลตัสในประเทศไทย มี 2,084 สาขา แบ่งเป็น
– ไฮเปอร์มาร์เก็ต 217 สาขา
– ซูเปอร์มาร์เก็ต 195 สาขา
– มินิ ซูเปอร์มาร์เก็ต 1,672 สาขา
จำนวนการซื้อทั้งช่องทางออฟไลน์ (สาขา) และออนไลน์ มากกว่า 10 ล้านครั้งในหนึ่งสัปดาห์
ในขณะที่จำนวนบัตรสมาชิกโลตัสการ์ด มากกว่า 15 ล้านสมาชิก
แล้วการจะนำสินค้าเข้าไปขายในโลตัส ต้องทำอย่างไร ?!? ตามมาดูกัน
6 วิธีการ และขั้นตอนนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในโลตัส
1. ศึกษากลุ่มสินค้าที่ “โลตัส” รับซื้อว่ามีหมวดอะไรบ้าง
กลุ่มสินค้าที่โลตัสรับซื้อ ประกอบด้วย
– อาหารสด และอาหารพร้อมรับประทาน
- เนื้อสัตว์ อาหารทะเลสด และแปรรูป ผักสด ผลไม้สด และแปรรูป
- อาหารพร้อมปรุง อาหารสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากนม ไส้กรอก
- เบเกอรี่ โดนัท คุกกี้ เค้ก
– อาหารแห้ง
- ข้าวสาร น้ำมัน น้ำปลา ซอสปรุงอาหาร แป้ง เส้น
– เครื่องดื่ม
- น้ำผลไม้ นม ชา กาแฟ เครื่องดื่มสมุนไพร
– ขนมขบเคี้ยว
- ขนมอบกรอบ ลูกอม มันฝรั่ง ปลาเส้น ผลไม้อบแห้ง
– สุขภาพ/ความงาม
- สินค้าดูแลหน้า เส้นผม ผิวพรรณ สุขภาพช่องปาก ยา และสินค้าทำความสะอาดร่างกาย
– ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
- ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาทำความสะอาดพื้น
– สินค้าใช้ในบ้าน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น แอร์ หม้อหุงข้าว เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องนอน สินค้าตกแต่งบ้าน และปรับปรุงบ้าน
- เครื่องใช้ในครัวเรือน หม้อ กระทะ จานชาม ช้อนส้อม
- สินค้าใช้ทำความสะอาด และอุปกรณ์ทำความสะอาด
– เครื่องแต่งกาย
- เครื่องแต่งกายสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี เด็ก และแฟชั่น
2. สินค้าต้องผ่านมาตรฐาน GMP / HACCP
ผู้ประกอบการที่จะนำเสนอสินค้าให้โลตัสพิจารณา โดยเบื้องต้นสินค้านั้นต้องมีมาตรฐาน GMP / HACCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิต ทั้งด้านความสะอาด ปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายในด้านจริยธรรม และการจ้างแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย
3. นำเสนอสินค้าให้กับโลตัสผ่านช่องทาง www.TescoLotus.com/SME และเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณา
ช่องทางที่ผู้ประกอบการ SME สามารถนำเสนอสินค้าได้คือ www.TescoLotus.com/SME โดยจะมีฝ่ายจัดซื้อ (Buyer) แต่ละแผนกสินค้าของโลตัสพิจารณาผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ มีกระบวนการพิจารณาอยู่ที่ 30 วัน
โดยทางโลตัส และผู้ประกอบการธุรกิจ SME จะมีการพูดคุยร่วมกัน เช่น เงื่อนไขต่างๆ กำลังการผลิต ต้นทุนสินค้า สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพัฒนา หรือปรับปรุงสินค้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานโลตัส
หากสินค้าผ่านการคัดเลือก และทั้งโลตัส และผู้ประกอบการ SME สามารถตกลงกันในเงื่อนไขต่างๆ ได้แล้ว ก็พร้อมให้สินค้านั้นเข้ามาวางสินค้านั้น เข้ามาวางจำหน่ายในโลตัสสาขาต่างๆ
4. สินค้าที่วางขายในโลตัส ต้องตอบโจทย์ความคุ้มค่าคุ้มราคา และสร้างผลกำไรให้กับโลตัส – ผู้ประกอบการ
เนื่องจากโลตัสเชื่อในการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นอีกหนึ่งหลักเกณฑ์สำคัญของการพิจารณาสินค้าที่นำมาวางขายในโลตัสคือ ต้องสร้าง Win-Win ให้กับทั้ง 3 ฝ่าย
– ลูกค้า ซื้อสินค้าคุณภาพดี มีมาตรฐาน และความปลอดภัย ราคาเข้าถึงได้
– ผู้ประกอบการ ต้องทำแล้ว มีกำไร
– โลตัส ต้องมีกำไรเช่นกัน
ดังนั้น ปัญหาอย่างหนึ่งของ SME คือ ต้นทุนการผลิตสินค้า สูงกว่าราคาขายในร้านค้าปลีก หากเป็นเช่นนี้จะส่งผลให้ SME มีผลกำไรน้อย ไปจนถึงไม่มีกำไร และขาดทุน!
ด้วยเหตุนี้เอง โลตัสจึงมีทีมงานพัฒนาธุรกิจ และทีมพัฒนาคุณภาพสินค้า ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในด้านการลดต้นทุน เพราะถ้าผู้ประกอบการรายนั้นๆ ยังผลิตในต้นทุนที่สูงกว่าราคาขาย ย่อมไม่เกิดการค้าที่ Win-Win ได้ทุกฝ่าย
5. เมื่อสินค้าวางจำหน่ายแล้ว ต้องพัฒนามาตรฐานต่อเนื่อง – ทบทวนยอดขาย – ไม่หยุดนำเสนอนวัตกรรมใหม่
สินค้าที่ผ่านการคัดเลือก และได้วางจำหน่ายในโลตัสแล้ว ทั้งผู้ประกอบการ SME และโลตัส จะทำงานร่วมกันแบบ “คู่ค้าพันธมิตร” (Business Partner) เพื่อสร้างการเติบโตด้วยกัน ประกอบด้วย
– ผู้ประกอบการตต้องทบทวนยอดขายกับทีมจัดซื้อเป็นประจำ
– มีการส่งเสริมการขายต่อเนื่อง
– มีการพัฒนามาตรฐานต่อเนื่อง ทั้งตรวจสอบคุณภาพ และรักษาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ
– มีการนำเสนอสินค้าใหม่ หรือสินค้านวัตกรรมใหม่ โดยโลตัสมีทีมงาน R&D พร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในการคิดค้น และพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อผู้ประกอบการจะได้ไม่ต้องใช้เงินลงทุนด้านนี้มาก
6. พัฒนามาตรฐานขั้นสูง มุ่งสู่การส่งออกไปต่างประเทศ
ปัจจุบันโลตัส ภายใต้กลุ่มซีพี มีสาขาทั้งในไทย มาเลเซีย และจีน ตามแผนยุทธศาสตร์อนาคตจะขยายธุรกิจไปนอกเหนือ 3 ประเทศนี้ การมีฐานธุรกิจอยู่ในตลาดต่างประเทศ เป็นโอกาสให้สินค้า SME ไทย ที่เข้ามาวางจำหน่ายในโลตัสแล้ว สามารถพัฒนาไปสู่ตลาดต่างประเทศได้
แต่การจะไปวางจำหน่ายในโลตัส ต่างประเทศนั้น ผู้ประกอบการต้องพัฒนามาตรฐานสินค้าให้อยู่ในระดับสากล เพื่อการส่งออก และพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ
เปิดเคล็ดลับ “สร้างความต่างสินค้า” เพิ่มโอกาสวางขายในโลตัส
จากวิธีการ และขั้นตอนการนำสินค้า SME วางขายในสาขาโลตัส และบนช่องทางออนไลน์ ยังมีเคล็ดลับที่ช่วยเพิ่มโอกาให้สินค้าของ SME ได้รับการพิจารณาจากโลตัสมากขึ้น นั่นคือ การสร้างความแตกต่างจากสินค้าที่มีวางจำหน่ายอยู่แล้วในโลตัส
โดยผู้ประกอบการธุรกิจลองสำรวจสินค้าที่จำหน่ายในโลตัสสาขาต่างๆ รูปแบบต่างๆ ว่าในสินค้าหมวดหมู่นั้นๆ ที่ผู้ประกอบการทำตลาดอยู่แล้ว หรือในจำนวนสินค้าที่ขายในโลตัส ยังไม่มีสินค้าใด หากผู้ประกอบการสามารถพัฒนาสินค้าที่มี Product Concept แตกต่าง เข้าใจตลาด เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ย่อมเพิ่มโอกาสให้สินค้าของผู้ประกอบการได้รับการพิจารณาเข้ามาวางจำหน่ายในโลตัสมากขึ้น
เช่น กรณีกลุ่มขนมขบเคี้ยว ในโลตัสมีแบรนด์ และประเภทขนมขบเคี้ยวมากมาย แต่แบรนด์หนังไก่ทอด “ไก๋ไก่” สามารถนำเข้ามาวางจำหน่ายในโลตัสได้
โดยแบรนด์นี้มาจากโครงการ Big Brother ที่โลตัส ร่วมกับสภาหอการค้าไทย และทางโลตัสเห็นความตั้งใจของผู้ประกอบการ และความน่าสนใจของคอนเซ็ปต์สินค้า ที่มาจากการเห็นคนไทยชอบบริโภคหนังไก่ทอดกันอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาถ้าจะซื้อหนังไก่ทอด ต้องหาซื้อตามร้านไก่ทอด บางครั้งก็เจอร้าน บางครั้งก็ไม่เจอ ทำให้ไม่สะดวกทั้งการซื้อ และการบริโภค
ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ไก๋ไก่ จึงนำ Insights ดังกล่าวมาพัฒนาเป็นสินค้าหนังไก่ทอด บรรจุในแพกเกจจิ้งปลอดภัย และมีแบรนด์ดิ้งชัดเจน โลตัสจึงพิจารณาเลือกนำเข้าไปวางจำหน่าย ทำให้ปัจจุบันมียอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมขายเดือนละ 10,000 ซอง เป็น 50,000 – 60,000 ซองต่อเดือน และขณะนี้เตรียมขยายกำลังการผลิต พร้อมทั้งพัฒนารสชาติใหม่