เมื่อคืนที่ผ่านมา มีการเปิดตัวของระบบปฏิบัติการ Windows 11 ตัวใหม่จากค่ายไมโครซอฟท์ (Microsoft) ออกมาแล้ว ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวครั้งแรกในรอบ 6 ปี ที่นอกจากดีไซน์จะแตกต่างไปจากเดิมในหลาย ๆ ส่วน ยังมีการผนวกแอปพลิเคชันอย่าง Microsoft Teams ที่รองรับการทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ลงไปด้วย ซึ่งทำให้เห็นว่าบริษัทตั้งใจจะบุกตลาดอย่างไรหลังจากนี้
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Microsoft Teams กลายเป็นอาวุธหลักที่อยู่ในระบบปฏิบัติการตัวดังกล่าว อาจเป็นเพราะไมโครซอฟท์พบว่า Teams เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีการใช้งานเพิ่มสูงในช่วงการระบาดของ Covid-19 ทั้งในภาคการศึกษา และภาคธุรกิจ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับค่าย Zoom และในอดีต ก็เชื่อว่าหลายคนคงจำได้กับกรณีของ Internet Explorer ที่ใส่เข้ามาในระบบปฏิบัติการวินโดวส์ และทำให้คู่แข่งอย่าง Netscape ล้มหายตายจากไปได้อย่างรวดเร็ว
เปิดให้นักพัฒนาขายของได้ฟรี
อีกสิ่งหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือการเปิดกว้างให้นักพัฒนาจากภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมกับไมโครซอฟท์ผ่านทาง Windows Store ได้มากขึ้น โดย Panos Panay ผู้บริหารระดับสูงด้าน Product ของไมโครซอฟท์กล่าวว่า นักพัฒนาแอปและผู้ผลิตซอฟต์แวร์
เขามองว่า ด้วยแพลตฟอร์มที่มีขนาดใหญ่มากนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อนักพัฒนา และแบรนด์ต่าง ๆ
ส่วนในเรื่องของส่วนแบ่งรายได้ ไมโครซอฟท์บอกว่า นักพัฒนาสามารถรับรายได้
ในจุดนี้อาจเป็นการสวนกลับไปยังค่าย Apple ที่ก่อนหน้านี้มีประเด็นเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมที่สูงมาก และมีค่ายเกมแห่งหนึ่งหาทางเลี่ยงให้ผู้เล่นไปซื้อไอเท็มจากช่องทางอื่น จนกลายเป็นคดีความระหว่างกัน ซึ่งในส่วนของการการคิดค่าธรรมเนียมที่มากถึง 30% นั้น ทำรายได้ให้ Apple ในปีที่ผ่านมา มากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
คิดส่วนแบ่งจากนักพัฒนาแค่ 15%
ส่วนไมโครซอฟท์บอกว่าจะคิดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้แค่ 15% และจะลดค่าธรรมเนียมจากธุรกิจเกมพีซีเหลือ 12% ในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย
นอกจากนั้น Windows 11 ยังสามารถรันแอปพลิเคชันจากแอนดรอยด์ได้ด้วย หรือจะแอดลงไปใน Start menu ก็ได้เช่นกัน
สำหรับระบบปฏิบัติการดังกล่าวจะเริ่มติดตั้งในคอมพิวเตอร์ได้ในช่วงปลายปี ส่วนคนที่ใช้ Windows 10 อยู่แล้ว ทางบริษัทบอกว่า สามารถอัปเกรดฟรีได้เลย
ใครที่อยากชมว่าหน้าตาของ Windows 11 จะเป็นอย่างไร สามารถชมได้จากคลิปนี้