คงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยในขณะนี้เข้าขั้นวิกฤต จำนวนผู้ติดเชื้อ ในเดือนกรกฎาคมพุ่งสูงสุดเกือบแตะ 10,000 คนต่อวัน จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน คำถามสำคัญที่ทุกคนต้องการได้คำตอบอย่างเร่งด่วนคือ รัฐจะมีมาตรการในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตนี้อย่างไร
ผศ.ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ ผศ.ดร.ภัทเรก ศรโชติ และผศ.ดร.ปิยะชาติ ภิรมย์สวัสดิ์ คณาจารย์สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันนำเสนอข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลทั่วโลกได้เคยใช้ในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จะทำให้เราเข้าใจว่าการรับมือโควิด-19 ในขั้นวิกฤตของประเทศไทยนั้น ควรคำนึงถึงมาตรการใดบ้างและมีวิธีการเยียวยาอย่างไรบ้าง หลังจาก ศบค.ออกมาประกาศมาตรการล็อกดาวน์ 6 จังหวัด กรุงเทพฯและปริมณฑล
“ล็อกดาวน์” แบบไหนถึงจะ “ล็อก” โควิด-19 ได้
มาตรการที่รัฐบาลในประเทศต่างๆ นำมาใช้ในการควบคุมโควิด-19 นั้นมีอยู่หลายมาตรการและมีผลต่อประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาดแตกต่างกัน โดยอ้างอิงงานวิจัยของ Brauner และคณะ (2021) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำระดับโลกทางด้านวิทยาศาสตร์ และ Haug และ คณะ (2020) ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Human Behavior ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำระดับโลกอีกวารสารหนึ่ง
โดยศึกษาและเปรียบเทียบมาตรการต่างๆ ที่แต่ละประเทศทั่วโลกใช้ในการลดการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่ามาตรการที่เน้นการเว้นระยะห่างทางสังคม การห้ามรวมกลุ่มของประชาชนที่เข้มขัน (เช่น ห้ามรวมกลุ่มเกิน 10 คน) การควบคุมการเดินทาง การปิดสถานศึกษา การปิดชายแดน และการปิดธุรกิจส่วนใหญ่ยกเว้นที่มีความจำเป็นจริงๆ ให้ผลต่อการควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและควบคุมได้รวดเร็วที่สุดในหลายประเทศ
ทั้ง 2 งานวิจัยนี้เห็นตรงกันว่ามาตรการที่ได้ผลดีที่สุดในหลายประเทศคือการห้ามการรวมกลุ่มของประชาชนที่เข้มข้น ดังนั้นคณะผู้เขียนเสนอว่าในภาวะวิกฤตของไทยนี้ ควรจะจำกัดการรวมกลุ่มในกิจกรรมที่ไม่จำเป็นไม่ให้เกิน 2 คน เหมือนที่เวียดนามกำลังทำอยู่ในขณะนี้เป็นเวลา 14 วัน (Viet Nam News 2021) เพราะจะทำให้การระบาดลดลงได้อย่างรวดเร็วที่สุด
“ล็อกดาวน์” แบบไหนคนถึงจะ “ไม่น็อก”
แม้ว่ามาตรการข้างต้นจะมีประสิทธิภาพสูงในการลดการระบาด แต่มาตรการเหล่านี้ก็มีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและทางสังคมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มแรงงานหาเช้ากินค่ำ
ดังนั้นควรต้องคำนึงถึงมาตรการเสริมอื่นๆด้วย อาทิ การแจกจ่ายอาหาร วันละ 3 มื้อ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบแก่ประชาชนที่ต้องตกงาน โดยรัฐสามารถรับสมัครร้านอาหารเข้าร่วมโครงการทำอาหารแจกจ่ายให้แก่ประชาชนโดยงบประมาณของรัฐ ซึ่งร้านอาหารเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการต่ออายุธุรกิจร้านอาหาร เสมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
โดยงบประมาณในโครงการนี้ ก็ไม่น่าจะมากกว่างบประมาณในโครงการเยียวยาอื่นๆ ที่รัฐเคยทำ อาทิ หากมีประชาชนรับอาหารประมาณ 10 ล้านคนต่อมื้อ ในกรณีล็อกดาวน์ 14 วัน จะต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 12,600 ล้านบาท (โดยคำนวณจากค่าอาหารมื้อละ 30 บาท) ส่วนวิธีการเบิกจ่าย ร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ระบบของโครงการ “คนละครึ่ง” ที่รัฐบาลมีอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ให้รัฐมีมาตรการรองรับที่เหมาะสม อาทิ การเหมาจ่ายโดยคาดประมาณจำนวนประชาชนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือที่มารับอาหาร นอกจากนี้ การรับอาหารต้องมีการเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการระบาด
“ล็อกดาวน์” ต้อง “ไม่ล็อกทิพย์”
ในภาวะวิกฤตการระบาดในประเทศไทยในขณะนี้ การใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้นอย่างแท้จริงและทั่วถึง จะเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาถึงผลสำเร็จในการรอดพ้นวิกฤตที่ถือว่ารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย
ที่ผ่านมาเราเห็นได้ว่า มาตรการควบคุมหลายมาตรการก็ไม่สามารถมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง อาทิ การเกิดการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าประเทศโดยไม่ผ่านจุดคัดกรองและกักตัว เป็นที่น่าสังเกตว่าหลายประเทศ อาทิ ประเทศจีนสามารถควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งที่มีพรมแดนธรรมชาติที่ยาวและยากต่อการควบคุมเป็นอย่างมาก สาเหตุหลักน่าจะเป็นเพราะว่า ประเทศจีนนั้นมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดังนั้นแม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามมาตรการควบคุมต่างๆอย่างเคร่งครัด แต่การกระทำของคนส่วนน้อยที่ไม่เคารพมาตรการควบคุมต่างๆ ก็สามารถเป็นชนวนไฟการระบาดให้ลุกลามเป็นไฟป่าเผาประเทศได้ ดังนั้นวิธีป้องกันคือการออกกฎหมายชั่วคราวที่เข้มข้นและเพิ่มโทษคนที่ละเมิดกฎหมายและมาตรการที่รัฐกำหนด