เรียกว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าสนใจทีเดียว กับความเปลี่ยนแปลงของโลกค้าปลีกที่เราได้เห็นการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น ค่าย J.C. Penney หรือ Neiman Marcus Group ที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ แต่ในโลกออนไลน์ เรากลับเห็นว่า ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอีคอมเมิร์ซอย่าง แอมะซอน (Amazon) กำลังมีแผนจะสร้างห้างสรรพสินค้าตัวจริงเสียงจริงขึ้นในรัฐ “โอไฮโอและแคลิฟอร์เนีย”
สำหรับรูปแบบของห้างที่ Amazon จะสร้างนั้น มีการคาดการณ์ว่าจะแตกต่างจากสิ่งที่บริษัทเคยทำมาก่อนหน้านี้ โดยหากใครยังจำได้ เมื่อปี 2015 Amazon เคยเปิดร้านขายหนังสือจริง ๆ มาแล้ว รวมถึงในปี 2017 Amazon ก็ซื้อกิจการ Whole Foods ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกมาทำเองเช่นกัน ไม่นับรวมการเปิดตัว Amazon Go ร้านสะดวกซื้อที่ไม่มีแคชเชียร์ ฯลฯ ซึ่งถือว่าเป้นการชิมลางสู่ธุรกิจออฟไลน์ของ Amazon
โดยเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า ห้างสรรพสินค้าที่ Amazon จะปั้นขึ้นนั้น มีขนาดประมาณ 30,000 ตารางฟุต โดยน่าจะมีสินค้ากลุ่มเสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลกทรอนิคส์ และ Private Brand ของ Amazon เอง
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของธุรกิจค้าปลีกของ Amazon ก็คือ เป็นห้างที่มีไว้ให้คนได้มาทดลองใช้สินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็น Pain Point ข้อหนึ่งของ Amazon ที่ยังแก้ไม่ตกนั่นเอง โดยเฉพาะสินค้าในหมวดเครื่องแต่งกายที่มักเจอกรณีลูกค้าซื้อไปลองหลาย ๆ ชิ้นแล้วส่งคืนจนกลายเป็นค่าใช้จ่ายมหาศาล เช่นเดียวกับหมวดของใช้ในบ้าน และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ลูกค้าส่วนหนึ่งมักต้องทดลองใช้งานจริงก่อนตัดสินใจ
ในอีกมุมหนึ่ง การมีห้างสรรพสินค้าของตัวเอง ยังทำให้สินค้าของ Amazon อย่าง Fire TVs แท็บเล็ต ลำโพงอัจฉริยะ Echo ระบบซีเคียวริตี้ Ring ฯลฯ ได้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายมากขึ้นด้วย และอาจเป็นการสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้บริโภคได้เช่นกัน
การขยับตัวครั้งนี้ของ Amazon จึงเป็นสิ่งที่น่าจับตา โดยเฉพาะ Walmart และ Target สองคู่แข่งที่อาจมีหนาวกันบ้าง เพราะแค่ยอดขายออนไลน์ Amazon ก็โตแรงมาตลอด ถ้า Amazon สามารถสร้างประสบการณ์จากห้างออฟไลน์ได้ดี ก็มีหวังจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่ใครก็ยากจะตามทันแน่นอน แต่ความท้าทายที่เพิ่มขึ้นของ Amazon ก็คือ “ต้นทุน” เมื่อร้านค้าออฟไลน์ต้องมีการบริหารจัดการหน้าร้าน รวมทั้งพื้นที่อื่นๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมต้องเผชิญหน้ามาตลอด