ทั่วโลกอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 มาแล้วกว่า 18 เดือน ประเทศไทยเจอการระบาดมาแล้ว 4 ระลอก สาหัสสุดกับครั้งปัจจุบันที่เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่พุ่งสูงหลักหมื่นรายต่อวัน รัฐออกมาตรการล็อกดาวน์รายพื้นที่ แต่สิ่งที่กระทบไม่ต่างกันคือ กำลังซื้อผู้บริโภค “ถดถอย” พบ 36% หรือ 1 ใน 3 คนไทย บอกการเงินเข้าขั้น “แย่”
ผลวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในสถานการณ์โควิด-19 ใน 6 ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย) โดย Ipsos บริษัทวิจัยตลาดและสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคระดับโลก จัดทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ครั้งแรก พฤษภาคม 2563 ครั้งที่ 2 กันยายน 2563 ครั้งที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 และล่าสุดครั้งที่ 4 เดือนมิถุนายน 2564
โดยสำรวจกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ขึ้นไป จำนวน 3,000 คน (ประเทศละ 500 ราย) ซึ่งอยู่ในสถานการณ์โควิดระบาดครั้งใหม่ของสายพันธุ์เดลตา ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในอาเซียนหลายประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค ที่กระทบต่อธุรกิจ เศรษฐกิจ และสังคม
สำหรับผลสำรวจฉบับล่าสุด คุณอุษณา จันทร์กล่ำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิปซอสส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้สรุปการเปลี่ยนแปลงผู้บริโภคในอาเซียน เปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่เจอกำลังเจอกับสถานการณ์โควิดระลอก 4 ไว้ดังนี้
1. ชาวไทย 80% กังวลภาวะเศรษฐกิจ หวั่นเจอล็อกดาวน์อีก
หากเปรียบเทียบการสำรวจความเชื่อมั่นเศรษฐกิจครั้งก่อนในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 กับครั้งล่าสุดเดือนมิถุนายน 2564 คนไทย 80% ยังกังวลกับสถานการณ์โควิดและปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน
โดยประเทศไทย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มองว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้น ขณะที่ สิงคโปร์และมาเลเซีย มองว่าเหมือนเดิมหรือทรงตัว ส่วนอินโดนีเซีย มองว่ายังไม่ดีขึ้น เพราะปี 2563 ยังไม่เจอกับมาตรการล็อกดาวน์ เหมือนประเทศอื่นๆ แต่ปีนี้มีการระบาดของโควิดเดลตา ทำให้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ชาวอินโดนีเซีย จึงมองว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ยังไม่แน่นอนและยังไม่ดีขึ้น
เมื่อถามถึงความกังวลกับการ “ล็อกดาวน์” หากต้องเจออีกในอนาคต ประเด็นนี้ สิงคโปร์ บอกไม่กังวล เพราะรัฐบาลให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจมาต่อเนื่อง
ขณะที่ประเทศไทยกังวลสูงสุด หากมีล็อกดาวน์อีก นั่นเป็นผลมาจากการเจอมาตรการล็อกดาวน์ครั้งแรกทั้งประเทศใน ปี 2563 ซึ่งส่งผลกระทบกับหลายอุตสาหกรรม และครั้งล่าสุดล็อกดาวน์รายพื้นที่ในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ทั้ง 2 ครั้ง ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัว หากต้องเจอมาตรการล็อกดาวน์อีกหลังจากนี้จึงมีความกังวลว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบหนัก
2. คนไทย 1 ใน 3 การเงินในกระเป๋าเข้าขั้น “แย่”
การสำรวจสถานะการเงินของผู้บริโภคอาเซียน ค่าเฉลี่ยที่บอกว่ายังดีและปานกลางอยู่ที่ 76% (การเงินมีปัญหา 24%) ผู้บริโภคในประเทศที่บอกว่าสถานะการเงินยังดีอยู่สูงสุด คือ สิงคโปร์ 83% ตามด้วยเวียดนาม 79%
ส่วนผู้บริโภคไทยที่มองว่าสถานะการเงินยังดีและระดับปานกลางอยู่ที่ 64% ต่ำสุดในอาเซียน นั่นเท่ากับอีก 36% หรือ 1 ใน 3 สถานะการเงินเข้าขั้น “แย่”
หากถามถึงสถานะทางการเงินในอีก 6 เดือนข้างหน้าในกลุ่มอาเซียน “มาเลเซีย” มองว่ายังไม่ดีขึ้น ส่วนฟิลิปปินส์ เชื่อว่าดีขึ้น
ขณะที่ประเทศไทยเกือบ 50% มองว่าน่าจะดีขึ้น ซึ่งก็มาจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดโรคโควิดลดลง มีวัคซีนมากขึ้น มาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐและเอกชน ที่ช่วยส่งเสริมให้การจ้างงาน และรักษาการจ้างงานไว้ ก็จะทำให้มั่นใจในสถานะการเงินมากขึ้น
3. ความคาดหวังจากภาครัฐและธุรกิจ 5 เรื่อง
เมื่อถามถึงเรื่องเร่งด่วนในอนาคตอีก 6 เดือนข้างหน้า ประเด็นที่คนไทยคาดหวังสูงสุดจากภาครัฐ 5 อันดับแรก
- มาตรการป้องกันประชาชนให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด 56%
- ควบคุมราคาสินค้าและบริการตลอดจนภาวะเงินเฟ้อ 36%
- สร้างงานคุ้มครองการจ้างงาน 34%
- มาตรการการช่วยเหลือและสนับสนุนด้านการเงินให้ครัวเรือน 26%
- ลดความเหลื่อมล้ำทางการเงิน 24%
ส่วน 5 เรื่อง ความคาดหวังจากภาคธุรกิจ หลักๆ คือ ด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ธุรกิจจะต้องนำมาพิจารณา เพื่อเตรียมแผนการรองรับใน 6 เดือนต่อไป ดังนี้
- ป้องกันพนักงานให้ปลอดภัยและพ้นภัยโควิด 53%
- ควบคุมราคาสินค้าและบริการ 46%
- จ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรมให้พนักงาน 41%
- มีส่วนช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการสร้างงาน 30%
- ส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นด้วยการอุดหนุนสินค้าของพ่อค้าในท้องที่ 29%
4 พฤติกรรมจับจ่ายชะลอซื้อบ้าน-รถยนต์
ส่วนการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมการใช้จ่าย ที่ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ พบว่าการใช้จ่ายของคนไทยในสถานการณ์โควิด จะจ่ายเงินเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น โดยตัดการใช้จ่ายกับสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น บ้าน รถยนต์ ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ มีอัตราลดลงตั้งแต่การแพร่ระบาดโควิดระลอก ปลายปีก่อน
สถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อมากว่า 18 เดือน มองว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง จึงเลือกใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็จะชะลอซื้อ เพราะมั่นใจในสถานภาพการจ้างงานในอนาคต
โดยสัดส่วน 82% ยังระวังใช้จ่าย 50% มีการสต็อกสินค้าของใช้ส่วนตัว 32% ซื้อสินค้าใหม่ แบรนด์ใหม่ นั่นหมายความว่าอีก 68% ยังรอได้ ดังนั้นการออกสินค้าใหม่หรือเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในช่วงนี้ ต้องดูว่าเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นก็อาจจะไม่ปังอย่างที่คิด
สินค้าที่ใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงโควิด
- วัตถุดิบประกอบอาหารที่บ้าน 46%
- ของส่วนบุคคล (Personal Care) 28%
- สินค้าทำความสะอาด (Cleaning Product) 34%
สินค้าที่ใช้จ่ายลดลงในช่วงโควิด
- การท่องเที่ยว 47%
- กิจกรรมด้านวัฒนธรรม 42%
- ของเล่นเด็ก 37%
- รับประทานอาหารนอกบ้าน 35%
โดย 77% ของคนไทยยังระวังจับจ่าย แม้มองว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าสถานะการเงินจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่กลับไปเหมือนก่อนโควิด เพราะโควิด ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง ดังนั้นจึงยังไม่จับจ่ายมากนัก เพราะตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันได้รับผลกระทบหนักมาก
แนวโน้มการทำกิจกรรมในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือไตรมาส 4 หากสถานการณ์โควิดดีขึ้น สิ่งที่คนไทยอยากทำ คือ เดินทางเยี่ยมญาติ 41% ท่องเที่ยวในประเทศ 32% ไปร้านอาหาร 28%
5. คุ้นเคยช้อปปิ้งออนไลน์-ใช้เวลาโซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น
การแพร่ระบาดโควิดยาวนานกว่า 18 เดือน ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนไปอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มคุ้นเคยกับการช้อปปิ้งออนไลน์ จับจ่ายแบบไร้เงินสด การใช้เวลาค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น
ช่วงโควิดระลอก 4 คนใช้เวลาบนโซเชียล มีเดียมากขึ้น 63% การ Work From Home จึงใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น 56% ช้อปปิ้งออนไลน์ 49% ดูสตรีมมิ่งคอนเทนท์ 42% ใช้จ่ายแบบไร้เงินสด (Cashless) 38%
รูปแบบช้อปปิ้งออนไลน์ ที่ผู้บริโภคนิยมและใช้มากขึ้นในช่วงโควิด คือ Livestream Shopping จากการสำรวจความคิดเห็นพบว่า 82% ของประชากรในกลุ่มอาเซียน เคยได้ยินเกี่ยวกับการช้อปปิ้งในรูปแบบนี้ และ 56% ของคนกลุ่มนี้เคยเข้าร่วม โดยที่ 14% ของกลุ่มคนที่เข้าร่วมนี้ มีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าและ 36% ตัดสินใจซื้อสินค้า
กลุ่มสินค้ายอดฮิตที่มีการจับจ่ายผ่านรูปแบบ ไลฟ์สตรีมมิ่ง ที่มีการซื้อขายสูงสุด คือ สินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกายและรองเท้า 51% อาหาร 15% ของใช้ส่วนบุคคลและความงาม 14% สินค้าในครัวเรือน 10% เครื่องดื่ม 4% ของเล่นและเกม 3% อื่นๆ 2%
6. Fake News ฉุดความเชื่อมั่นฉีดวัคซีน
หนึ่งในปัจจัยสำคัญป้องกันโควิด เพื่อทำให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติ คือ การได้รับวัคซีนป้องกันโควิด จากการสำรวจช่วงปลายปีก่อน เรื่องความพร้อมของการได้รับวัคซีนให้กับทุกคนในแต่ละประเทศรวมทั้งไทย ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564
ปัจจุบันหลายประเทศ วัคซีนเริ่มทยอยเข้ามาแล้วอย่างต่อเนื่อง แต่การสำรวจในรอบนี้ว่า เมื่อวัคซีนพร้อมแล้ว ประชาชนแต่ละประเทศส่วนใหญ่พร้อมฉีด 82% สูงกว่าช่วงต้นปีที่ 79%
แต่การสำรวจในประเทศไทย ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 คนที่บอกว่าพร้อมฉีดวัคซีนอยู่ 80% แต่การสำรวจระลอก 4 ในเดือนมิถุนายน 2564 เหลือ 70% ที่บอกว่าพร้อมฉีด สัดส่วนที่ลดลงนี้มาจากความลังเลว่าวัคซีนโควิดอาจส่งผลลบต่อสุขภาพและร่างกายระยะยาว
รวมทั้งการได้รับข้อมูลข่าวสารเรื่องผลกระทบจากวัคซีน ที่ได้เห็นจากประเทศต่างๆ อีกประเด็นสำคัญคือ Fake News เรื่องวัคซีน ทำให้คนลังเลที่จะฉีด แต่หลังจากประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อใหม่จำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เห็นว่าควรได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง
นอกจากนี้ยังพบว่าประชากรในอาเซียนมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ รู้สึกแย่ ที่ต้องอยู่ท่ามกลางผลกระทบโควิดมาเป็นเวลายาวนานต่อเนื่อง คนไทยมีผลกระทบด้านสุขภาพจิตและรู้สึกแย่กับสถานการณ์โควิดมากกว่าวิกฤติการเงินต้มยำกุ้งในปี 2450 จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐและเอกชนต้องเข้ามาดูแลทั้งเรื่องสุขภาพเร่งฉีดวัคซีน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และภาวะจิตใจ เพราะสถานการณ์โควิดยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง
อ่านเพิ่มเติม