หุ้นขวัญใจมหาชน OR รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 มีรายได้จากการขายและบริการ อยู่ที่ 116,792 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 1.6% จากผลกระทบโควิดระลอกใหม่และมาตรการช่วยเหลือคู่ค้าเอสเอ็มอี ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 3 ทำไปได้ 1,892 ล้านบาท ลดลง 45.2% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ตัวเลขงวด 9 เดือน ปี 2564 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มีรายได้ขายและบริการอยู่ที่ 353,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือน อยู่ที่ 9,121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.4%
บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2564 มีรายได้ขายและบริการ 116,792 ล้านบาท ปรับลดลง 1.6% จากไตรมาส 2 ปีนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเปิดรับนักท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าชะลอตัวลงกว่าคาด
รายได้ขายและบริการ ไตรมาส 3 ปี 2564 เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
– กลุ่มธุรกิจน้ำมัน 108,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.4%
– กลุ่มธุรกิจ Non-Oil 3,761 ล้านบาท ลดลง 15.3%
– กลุ่มธุรกิจต่างประเทศ 6,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9%
– กลุ่มธุรกิจอื่นๆ 239 ล้านบาท ลดลง 8.4%
แต่ในเดือนกันยายน 2564 สถานการณ์การระบาดโควิดในไทยก็ผ่อนคลายลง ความต้องการใช้น้ำมันของโลกกำลังฟื้นตัวด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายวัคซีนที่รวดเร็วในหลายประเทศ ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้น
ปัจจัยดังกล่าวทำให้กลุ่มธุรกิจน้ำมัน มีรายได้ขายลดลงเล็กน้อย จากปริมาณการขายรวมลดลง 5.9% โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและเบนซิน แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาสนี้
Cafe Amazon ยอดขายลดลง 2 ล้านแก้ว
กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ไตรมาส 3 ปีนี้ มีรายได้ 3,761 ล้านบาท ลดลง 15.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากกำลังซื้อลดลง ทำให้ปริมาณขายรวมลดลง จากสถานการณ์โควิดระลอกใหม่ ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงรวมทั้ง การปิดร้าน และการลดเวลาการเปิดร้านอาหารและเครื่องดื่มในหลายพื้นที่ ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ รายได้ Non-Oil อยู่ที่ 11,907 ล้านบาท ลดลง 2.8%
อย่างไรก็ตาม Cafe Amazon ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น การออกกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ อาทิ การนำกลับบ้าน (Take Away ) บริการจัดส่ง (Delivery Service) รวมถึง Drive-Thru ช่วยพยุงให้ยอดขายของ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ให้ไม่ลดลงมากนัก
ในไตรมาส 3 ปีนี้ กลุ่มธุรกิจ Non-Oil มีร้านอาหารและเครื่องดื่มรวม 3,812 สาขา แบ่งเป็น ร้านคาเฟ่ อเมซอน 3,492 สาขา เป็นสาขาในประเทศไทยที่อยู่ในสถานีบริการ 2,029 สาขา สัดส่วน 58% และนอกสถานีบริการ 1,463 สาขา สัดส่วน 42% มีร้านคาเฟ่ อเมซอน ในต่างประเทศ 20 สาขา
ร้านเท็กซัส ชิคเก้น มี 87 สาขา สำหรับร้านอาหารและเครื่องดื่มอื่นมี 213 สาขา ได้แก่ ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ เพิร์ลลี่ที และ Pacamara สำหรับธุรกิจ Non-Oil อื่น มีร้านสะดวกซื้อ ภายใต้แบรนด์ 7-Eleven และภายใต้แบรนด์ จิฟฟี่ ในประเทศไทย 2,041 สาขา
ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในไตรมาส 3 ปีนี้ มียอดจำหน่ายรวม 68 ล้านแก้ว ลดลง 2 ล้านแก้ว หรือ -2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้ เป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ขณะที่งวด 9 เดือนแรก ปี 2564 คาเฟ่ อเมซอน มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 11 ล้านแก้ว หรือ +5.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับรายได้กลุ่มธุรกิจต่างประเทศนั้นค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ชดเชยกับปริมาณการขายที่ลดลงจากสถานการณ์โควิดในต่างประเทศแถบ CLMV
ช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงและต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลกระทบต่อประชาชน รวมไปถึงผู้ประกอบการที่เป็นคู่ค้าด้วย OR จึงได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือคู่ค้า แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมันหรือ LPG รวมถึงลดการจัดเก็บค่า Royalty fee และ Marketing fee สำหรับผู้ประกอบการแฟรนไชส์ร้านคาเฟ่อเมซอน รวมไปถึงการลดอัตราค่าเช่าให้กับผู้ประกอบการร้านเช่า เพื่อให้ธุรกิจ SMEs รักษาการจ้างงาน และสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา OR ได้จัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อทดลองดำเนินธุรกิจการบริการยานยนต์ออนไลน์ (Online Automotive Service) เพื่อเป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าอะไหล่ยานยนต์ออนไลน์และเชื่อมต่อลูกค้าออนไลน์ กับร้านอู่ซ่อมรถ เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อตอบสนองผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น
รวมทั้งได้เปิดตัวสถานีบริการ พีทีที สเตชั่น รูปแบบพิเศษ หรือ Concept Station ด้วยอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับ Flash Express เปิดตัวจุดบริการส่งพัสดุในร้านคาเฟ่ อเมซอน หรือ Flash Express Drop Off ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน 71 สาขา
คุณพิจินต์ อภิวันทนาพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจในไตรมาส 4 OR ยังเดินหน้าลงทุนเพื่อต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Mobility & Lifestyle ตอบโจทย์คนเดินทางทุกรูปแบบ
โดยยังคงแสวงหาพันธมิตรธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึง Start-up ที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ OR ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) การท่องเที่ยว (Travel) สุขภาพ (Health and Wellness) รวมไปถึง Digital Lifestyle ต่าง ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของ OR รวมทั้งผู้ประกอบการไทยให้มีโอกาสในการก้าวสู่ความสำเร็จและเติบโตร่วมกัน