เป็นสิ่งที่หลายคนคาดว่าต้องมาถึงในสักวัน สำหรับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ Facebook ที่เปิดผลประกอบการไตรมาส 4 แล้วพบว่ามีตัวเลขผู้ใช้งาน “ลดลง” เป็นครั้งแรกในอเมริกาเหนือ (ซึ่งเป็นตลาดที่ทำเงินได้สูงสุด) จาก 196 ล้านคน เหลือ 195 ล้านคน แถมด้วยเม็ดเงินรายได้จากค่าโฆษณาที่ทำได้ต่ำกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทแม่อย่าง Meta ลดลงทันที 24% หรือคิดเป็นมูลค่าที่หายไปราว 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว เพราะการทำรายได้จากค่าโฆษณาบนโซเชียลมีเดียคือหัวใจสำคัญของ Meta ด้วยเหตุนี้การมีตัวเลขผู้ใช้งานรายวันลดลงในไตรมาส 4 ที่ผ่านมา 1 ล้านคน จึงทำให้นักลงทุนต้องตั้งคำถามถึงการเติบโตในอนาคตของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ส่วนตัวเลขผู้ใช้งาน Facebook ที่เข้ามาเป็นประจำทุกเดือน (MAU) ยังอยู่ที่ 2.91 พันล้านคนต่อเดือน ซึ่งก็ไม่เติบโตเช่นกัน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร Meta ได้มีการอ้างถึงการปรับเปลี่ยนระบบปฏิบัติการของ iOS จากค่ายแอปเปิลที่ต้องขออนุญาตจากผู้ใช้งานก่อน จึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้บริโภคได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของผลประกอบการในไตรมาสนี้
ขณะที่ Reels ฟีเจอร์ใหม่ที่ Meta พัฒนาขึ้นมาเพื่อต่อกรกับ TikTok ก็ยังไม่สามารถทำรายได้ไอย่างที่คิด
อย่างไรก็ดี Meta ทำรายได้ในไตรมาสนี้ไปไม่น้อย โดยทำเงินได้ถึง 33,670 ล้านเหรียญสหรัฐ และคิดเป็นกำไรสุทธิ 10.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนธุรกิจของ Reality Labs (ดูแลธุรกิจใหม่อย่าง VR, AR และ Metaverse) นั้นพบว่ามีรายได้ 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐจากการขายอุปกรณ์แว่น VR อย่าง Quest
เพราะ Facebook ไม่น่ารักแล้วหรือเปล่า คำถามนี้อาจเกิดขึ้นในใจหลายคน แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อาจเป็นเพราะ Facebook ไม่สามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้มากพอ และพวกวัยรุ่นหันไปอยู่บนแพลตฟอร์มอื่น ๆ มากกว่า เช่น TikTok
อย่างไรก็ดี มาร์ค ซักเคอร์เบิร์กบอกว่า บริษัทจะยังคงทุ่มเงินให้กับโปรเจ็คของ Reality Labs ต่อไป เนื่องจากทั้ง AR/VR คือเครื่องจักรสำคัญในแพลตฟอร์มที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และขอให้นักลงทุนอดใจรอการเติบโตรอบใหม่ของบริษัท