HomeBrand Move !!ทำความรู้จัก “Fintertainment” เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลกการเงิน-การลงทุนยุคใหม่ที่ “เอนเตอร์เทน” ได้ในเวลาเดียวกัน

ทำความรู้จัก “Fintertainment” เมกะเทรนด์เปลี่ยนโลกการเงิน-การลงทุนยุคใหม่ที่ “เอนเตอร์เทน” ได้ในเวลาเดียวกัน

แชร์ :

หลายปีที่ผ่านมา “โลกทางการเงินและการลงทุน” เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก จากการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีทางการเงิน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง ทั้งรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ และผู้เล่นที่ไม่ใช่สถาบันทางการเงินเข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น รวมไปถึงพฤติกรรมการลงทุนที่เปลี่ยนไป จนเกิดนวัตกรรมทางการเงินและเทรนด์การลงทุนรูปแบบใหม่ๆ ขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Fintertainment หรือการเงินยุคใหม่ที่ให้ความสนุกในเวลาเดียวกัน ซึ่งกำลังจะเป็นเมกะเทรนด์ในอีก 20 ปีข้างหน้า

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

แล้วคำว่า Fintertainment คืออะไร เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ในงานสัมมนาประจำปีของ Brand Buffet ซึ่งปีนี้จัดขึ้นในห้วข้อ “Unlock The Future 2022 : Creating The Business Knock-Out Variant ปลดล็อคอนาคตสู่โลกการตลาดยุคใหม่” คุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟินโนมีนา (FINNOMENA) ได้อธิบายถึงเทรนด์นี้ให้ฟังอย่างน่าสนใจ

“ลงทุน-สนุก-เสี่ยงโชค” บรรจบกันได้   

คำว่า Fintertainment เกิดขึ้นจากคำว่า Finance (การเงิน) รวมกับคำว่า Entertainment (ความบันเทิงหรือความสนุก) แปลตรงตัวคือ การเงินในยุคใหม่ที่ “เอนเตอร์เทน” ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากการเงินและการลงทุนสมัยก่อน ที่มักเป็นเรื่องยาก ไม่สนุก เพราะมีแต่ตัวเลขการเงิน และผลตอบแทนเป็นหลัก

คุณเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟินโนมีนา (FINNOMENA)

แล้วอะไรทำให้สองเรื่องนี้มาบรรจบด้วยกันได้ คำตอบคือ เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) คุณเจษฎา บอกว่า บล็อกเชนทำให้เราสามารถซื้อ ขาย และแลกเปลี่ยนทุกอย่างที่เป็นมูลค่า (Transfer Value) ในรูปแบบดิจิทัลได้ อีกทั้งระบบยังมีความปลอดภัย รวมถึงรู้ว่าใครมีสิทธิและเป็นเจ้าของจริง จึงช่วยแก้ปัญหาเรื่องการก็อปปี้ได้ และจากความสามารถดังกล่าวนี้ บล็อกเชนจึงถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมทางการเงิน จนเกิดเป็น Financial Product ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น คริปโตเคอร์เรนซี, NFT และ Fintertainment

สำหรับเทรนด์การเงินยุคใหม่ที่สามารถลงทุนได้และสนุกด้วยนี้ คุณเจษฎา บอกว่า เริ่มเกิดขึ้นมาได้ประมาณ 1 ปีแล้ว และเชื่อว่าจะเป็นเมกะเทรนด์ต่อเนื่องในอีก 10-20 ปีข้างหน้า เหตุผลสำคัญที่ทำให้มั่นใจ มาจากองค์ประกอบ 3 ข้อ ซึ่งเป็น Instinct ที่อยู่กับมนุษย์ทุกคน นั่นคือ

1.คนอยากตื่นมาแล้วรวยขึ้น ทุกวันนี้คนอยากมีเงินมากขึ้น อยากให้เงินงอกเงย โดยเฉพาะโควิด-19 ที่ทำให้โลกมีความไม่แน่นอน หลายคนมีรายได้จากเงินเดือนและโอทีลดลง จึงต้องหารายได้เสริมจากแหล่งอื่น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากระแสของการลงทุนจึงแพร่หลาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หันมาลงทุนเป็นครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุน พันธบัตร และคริปโตเคอร์เรนซี่ ซึ่งความอยากมั่งคั่งหรือมีเงินมากขึ้นนี้เป็น Functional Benefit คือการลงทุนแล้วหวังว่าจะได้ผลตอบแทน แต่ไม่ค่อยให้ Emotional Benefit เพราะเวลาขาดทุนแล้วจะรู้สึกหงุดหงิด

2.อยากเสี่ยงโชค เพราะจะได้ตื่นเต้น

การเสี่ยงโชค เป็นพื้นฐานที่อยู่ในสายเลือดของมนุษย์ เพราะคนชอบตื่นเต้น ได้ลุ้น หรือ Emotional Benefit ให้ความสุขทางใจ ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเสี่ยงโชคทั่วโลกมีขนาดใหญ่ สำหรับประเทศไทย จากการสำรวจพบว่า คนไทยเสี่ยงโชคมากกว่า 30 ล้านคน แบ่งเป็นลงทุนในหุ้น 1-2 ล้านคน กองทุน 1-2 ล้านคน ส่วนคริปโตเคอร์เรนซี่ 1-2 ล้านคน และประมาณ 20 ล้านคนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล

3.ชอบสนุก พักผ่อน อยากเล่นเกม

นอกจากการเสี่ยงโชค อยู่ในสายเลือดเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว พฤติกรรมคนไทยยังชอบสนุก พักผ่อน และอยากเล่นเกม จึงทำให้การ “เล่นเกม” ได้รับความนิยมอย่างมาก และส่งผลให้อุตสาหกรรมเกมทั่วโลกมีขนาดใหญ่มาก ปัจจุบันมีผู้เล่นเกมกว่า 2.7 พันล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 3 แสนล้านเหรียญต่อปี สูงกว่ามูลค่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และเพลงรวมกันอีก ส่วนในประเทศไทย ปัจจุบันมีผู้เล่นเกมสูงถึง 10 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ตลาดเกมยิ่งขยายตัวขึ้นอย่างมาก

คุณเจษฎา บอกว่า ปกติการเล่นเกมที่ผ่านมา ผู้เล่นต้องเสียเงินซื้อไอเท็ม วิธีง่ายสุดคือ การเติมเงิน แต่ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย คนเล่นเก่งๆ อย่างมากขายไอดีเกมแต่มูลค่าก็ไม่ได้มาก แต่ปีที่ผ่านมาเกิดรูปแบบเกมใหม่ที่เรียกว่า Play to Earn หรือ GameFi ซึ่งนอกจากจะเล่นเกมสนุกแล้ว ยังเป็นเจ้าของไอเท็มหรือสิ่งของในเกม แถมยังสร้างรายได้จากการขายสิ่งของได้อีกด้วย โดยเป็นการนำบล็อกเชนมาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน รวมถึงซื้อขายตัวละคร หรือไอเท็มได้ โดยผู้เล่นต้องแลกเงินคริปโตเคอร์เรนซี่ หรือสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้ในการเล่นเกมนั้นๆ ก่อน เมื่อมูลค่าโทเคนเพิ่มขึ้น ผู้เล่นสามารถจะแลกกลับมาเป็นเงินในกระเป๋าได้ และยิ่งเล่นไปนานๆ หรือเล่นชนะก็จะได้ผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราลงทุนในหุ้นแล้วได้ปันผลกลับมา แต่หลักการ Play to Earn ยังได้สนุกกับการเล่นเกมด้วย

ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ และยังเป็นเทรนด์ในอีก 20 ปี

ในปัจจุบัน การลงทุนที่ได้ความสนุกและเสี่ยงโชคด้วย เพิ่งเริ่มเกิดขึ้นในโลก Play to Earn และเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ Fintertainment แต่เมื่อ 3 สิ่งนี้มารวมตัวกัน คุณเจษฏา มองว่า จะทำให้มี Used Case ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้อีก และเป็นเมกะเทรนด์ในอีกหลายสิบปีข้างหน้า เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้มองหาแต่ Functional Benefit เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองหา Emotional Benefit ความสุขจากสิ่งที่เขาจะได้รับจากการลงทุนด้วย

ส่วนประเด็นที่หลายคนมองว่า การนำเกมมาผนวกกับการเสี่ยงโชค อาจจะกลายเป็นแชร์ลูกโซ่ และอาจจะไม่ยั่งยืนในระยะยาว เพราะไม่มี Value ที่แท้จริง คุณเจษฎา บอกว่า หากมองถึงหลักการของ GameFi ที่เริ่มจากผู้เล่นต้องแลกเหรียญคริปโตมาเพื่อเล่นเกม เมื่อเล่นจนชนะได้รับของรางวัลกลับมา ไม่ว่าจะเป็น ไอเท็มในเกม หรือสกุลเงินดิจิทัล สามารถนำไปใช้ซื้อไอเท็มต่อ หรือแลกเปลี่ยนออกมาเป็นสกุลเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ขณะเดียวกันยังสามารถจะนำไปปล่อยกู้คริปโตฯ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคารสมัยก่อน ซึ่งจะทำให้ผู้กู้สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ถูกลง ในขณะที่ผู้ปล่อยก็ได้ดอกเบี้ยมากขึ้น กลไกนี้จึงมี “ดอกเบี้ย” หรือ “ผลตอบแทน” รองรับ ไม่ใช่แชร์ลูกโซ่อย่างที่หลายคนกังวล

ทั้งหมดนี้ เป็นแค่จุดเริ่มต้นของเทรนด์ Fintertainment ที่เราจะได้เห็นมากขึ้นในปี 2022 และแน่นอนว่าจะพลิกโลกการเงินและการลงทุนหลังจากนี้ให้ “สนุก” ขึ้นกว่าเดิมแน่นอน

 

Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand


แชร์ :

You may also like