ซีเอ็มโอ (CMO) ก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 เปลี่ยนมือผู้บริหารจาก คุณเสริมคุณ คุณาวงศ์ ผู้ก่อตั้ง ที่ได้วางมือทางธุรกิจและขายหุ้นของตัวเองให้ คุณกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งด้วยสัดส่วน 24.40% และนั่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปรับโครงสร้างธุรกิจจากอีเวนท์สู่ Experience – Tech Creator พร้อมเปลี่ยนโลโก้ วางโพสิชั่นนิ่งใหม่เป็น Tech Company
การเข้ามาลงทุนถือหุ้นใหญ่ในซีเอ็มโอ คุณกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ให้เหตุผลว่าจากโครงสร้างพื้นฐานของ CMO เป็นได้มากกว่าธุรกิจอีเวนท์ จึงต้องการเข้ามา “ต่อยอด” ธุรกิจ ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Entertainment โดยจะเป็นโปรโมเตอร์จัดงานเอง เช่น คอนเสิร์ตศิลปินเกาหลี สหรัฐฯ ยุโรป รวมทั้งงานเฟสติวัล ไลฟ์โชว์ จากเดิมที่ให้บริการอีเวนท์กับภาคธุรกิจ (B2B) ก็จะเพิ่มอีเวนท์ในกลุ่มบันเทิงเข้าถึงผู้ชมโดยตรง (B2C)
นอกจากนี้ได้ขยายธุรกิจเพิ่มในกลุ่มเทคโนโลยี เพื่อให้บริการออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง ให้บริการ 360 องศา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และสิ่งที่จะสร้างขึ้นใหม่ คือ CMO จะก้าวไปสู่ Tech Company ด้วยเป้าหมายเป็นบริษัทที่ สร้าง High Growth
สิ่งที่สะท้อนยุทธศาสตร์ใหม่ CMO สู่การเป็น Experience – Tech Creator คือการแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนและการทำ MOU ในธุรกิจ Digital and Technology Solutions สำหรับ Web 2.0 และ Web 3.0 ร่วมกับ 6 บริษัท
1. Brand Baker – บริษัท แบรนด์ เบเกอร์ จำกัด เป็นดิจิทัล เอเยนซี
2. Redex – บริษัท เรฟโวลูชั่น ออฟ ดิจิทัล เอ็มพลอยยี เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด ด้านการพัฒนาบุคลากร
3. Shopgenix – บริษัท ช็อปจีนิกซ์ จำกัด บริการ Affiliate Commerce ช่วยลูกค้าสร้างช่องทางขายผ่านตัวแทน
4. Zanroo – บริษัท อินเตอร์เน็ต เบส บิซิเนส กรุ๊ป จำกัด บริการด้าน Social Listening และ CRM Platform
5. Transformational – บริษัท ทรานส์ฟอร์เมชั่นนอล จำกัด บริการที่ปรึกษาเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล
6. WeLink – บริษัท รา ฟิตเนส จำกัด บริการ Loyalty Platform
การศึกษาลงทุนใน 6 บริษัทเทคโนโลยีนี้ จะสรุปรูปแบบธุรกิจราวเดือนพฤษภาคม 2565 โดยจะเป็นการ M&A ซึ่ง CMO กำหนดสัดส่วนเข้าไปร่วมถือหุ้น 40-60% ด้วยบิสซิเนสโมเดลนี้จะทำให้ขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อเป้าหมายเติบโตก้าวกระโดด
เดิม CMO เคยทำรายได้สูงสุด 1,300-1,400 ล้านบาท จากธุรกิจอีเวนท์อย่างเดียว ปี 2565 หลังปรับโครงสร้างใหม่ จะทำให้ธุรกิจอีเวนท์กลับมามีรายได้ไม่ต่ำจากเดิมคือ 1,300-1,400 ล้านบาท แต่ปีนี้จะมีธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ การเป็นโปรโมเตอร์จัดงานเองเข้ามาเพิ่ม น่าจะมีรายได้ 500 ล้านบาท หากเริ่มจัดงานได้ในช่วงกลางปีนี้ ขณะนี้มีไลน์อัพการจัดคอนเสิร์ตต่างประเทศทั้งศิลปินเกาหลี และสหรัฐฯ แล้ว ส่วนรายได้ใหม่จากธุรกิจเทคโนโลยีน่าจะอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท ดังนั้นปี 2565 น่าจะมีรายได้รวมราว 2,500 ล้านบาท
โครงสร้างรายได้ CMO ในปี 2565 รายได้หลักยังมาจากธุรกิจเดิมอีเวนท์ 70% กลุ่มเอ็นเตอร์เทนเมนต์(โปรโมเตอร์) 20% และเทคโนโลยี 10% แต่ปี 2566 สัดส่วนรายได้จะมาจาก ธุรกิจเทคโนโลยี 60% หลังจากเข้าไปลงทุนใน 6 บริษัทเทคโนโลยีเต็มปี และบริษัทใหม่ที่จะ M&A เพิ่มเติม โดยเฉพาะพันธมิตรจากต่างประเทศ ส่วนอีเวนท์และเอ็นเตอร์เทนเมนต์จะอยู่ที่ 40%
“อริยะ” นำทัพพา CMO สู่ Tech Company
โมเดลธุรกิจ CMO สู่ Tech Company ได้มีการเสริมทัพผู้บริหารใหม่เข้ามาสานเป้าหมาย High Growth นำโดย คุณบี๋ อริยะ พนมยงค์ ในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.ซีเอ็มโอ โดยบริษัท Transformational ที่คุณอริยะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปลายปี 2563 ก็มีรายชื่อเป็นหนึ่งใน 6 บริษัทที่ CMO จะทำ M&A นั่นคือเหตุผลสำคัญของการเข้ามานั่งเป็น Co-CEO เพราะในที่สุด Transformational จะเป็นหนึ่งในบริษัทย่อยของ CMO
ภารกิจของคุณอริยะ คือการทรานส์ฟอร์มองค์กรสู่ CMO New Gen นำจุดแข็งของที่ไม่ใช่แค่การจัดอีเวนท์ แต่คือการสร้างประสบการณ์จาก Physical หรือโลก 1.0 เข้าสู่โลกดิจิทัล หรือ Web 2.0 แน่นอนว่า CMO มองไกลกว่านั้น กับเป้าหมายการก้าวเข้าสู่ Web 3.0 หรือโลก Metaverse
“วันนี้เราอยู่ในยุคที่องค์กรดั้งเดิมหากไม่เปลี่ยนก็ไปไม่รอด จึงต้องทรานส์ฟอร์ม เป็นศาสตร์ที่ผมถนัดและนี่คือเหตุผลที่ทำไมจึงเข้ามาเป็น Co-CEO ที่ซีเอ็มโอ” คุณอริยะ กล่าว
เมื่อ CMO เป็นผู้นำในการสร้างประสบการณ์ที่ก้าวสู่ Web 3.0 จึงเป็นที่มาของ Tagline ใหม่ Experience – Tech Creator จากประสบการณ์ซึ่งเป็นเรื่องที่ถนัดอยู่แล้วและมีอาวุธครบมือ สิ่งที่จะเข้ามาเสริม คือ Technology เพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ เป้าหมายคือให้ทุกคนนึกถึง CMO ในฐานะที่เป็น Tech Company ไม่ใช่แค่อีเวนท์ ออร์กาไนเซอร์อีกต่อไป
เดินหน้ากลยุทธ์ 5E
CMO ยุคใหม่ตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี จากธุรกิจอีเวนท์เดิมและธุรกิจใหม่การสร้างประสบการณ์ในโลก Blockchain และ Metaverse ด้วยกลยุทธ์ 5 Elements (5E) ประกอบด้วย Event, Equipment, Entertainment, End-to-End 2.0 และ Experience 3.0
1. Event ปัจจุบันยังเป็นธุรกิจหลัก จะพัฒนาให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ด้วยการสร้างแบรนด์อีเวนท์ของตัวเองและจับมือกับพันธมิตรธุรกิจสร้างอีเวนท์ระดับ World-class Experience ในประเทศไทย ดึงดูดนักเดินทางจากต่างประเทศ และ Scale Up เพื่อส่งออกแบรนด์ได้ในอนาคต โดยอีเวนท์จะเป็นรูปแบบ One Stop Solutions ให้บริการทั้งภาครัฐ เอกชน กลุ่ม MICE มีหน่วยงาน CM Lab ทำหน้าที่เป็นครีเอทีฟคิดงานอีเวนท์ของตัวเอง และดึงงานจากต่างประเทศเข้ามาจัด
2. Equipment ภายใต้บริษัทลูก PM Center ให้บริการอุปกรณ์แสง สี เสียง ภาพ สตูดิโอ ครอบคลุมทุกรูปแบบกิจกรรม ตั้งแต่อีเวนท์ สตูดิโอ และคอนเสิร์ตระดับโลก ด้วยการร่วมมือกับบริษัทพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ
3. Entertainment เป็นธุรกิจที่ขยายเพิ่มเข้ามารูปแบบโปรโมเตอร์จัดงานในกลุ่มบันเทิง ตั้งเป้าเป็นเบอร์หนึ่งด้าน In-bound Live Entertainment Experience ทั้งระดับเอเชียและระดับโลก เตรียมดึงงานระดับ World Festival เข้ามาในประเทศไทย และมีแผนสร้าง Original Content ในนาม CM Entertainment โดยจะมีคอนเสิร์ตเกาหลี สหรัฐฯ ยุโรป ไลน์อัพการจัดงานจะมีตั้งแต่ระดับ 40,000 ที่นั่ง (สนามราชมังคลา) ขนาด 12,000 ที่นั่ง (อิมแพ็ค) และ 2,000-5,000 ที่นั่ง วางเป้าหมายให้ CM Entertainment เป็นธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ไทยสู่ระดับเอเชียและระดับโลก
4. End-to-End 2.0 เป็นกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีการตลาดครบวงจร ตามแผนการ M&A ร่วมกับ 6 บริษัทด้านเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ได้แก่ Digital Agency, Social Listening, Influencer Platform, Employee Engagement Platform และ CRM สร้าง Total Experience ช่วยลูกค้าคิดรูปแบบอีเวนท์ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ตอบโจทย์การตลาด 360 องศา ให้กับแบรนด์ ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งาน
5. Experience 3.0 เป็นกลุ่มธุรกิจดิจิทัลที่ตอบโจทย์ธุรกิจแห่งอนาคต ประกอบด้วย Metaverse Studio ซึ่ง CMO จะร่วมมือกับบริษัท Blockchain ระดับโลก รวมถึงการสร้าง Digital Assets จากเทคโนโลยี NFT ที่มาช่วยสนับสนุนธุรกิจบันเทิง และ Decentralized commerce เป็นต้น
คุณอริยะ ย้ำว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ CMO ทั้งในฐานะผู้บริหารและนำบริษัท Transformational เข้ามาร่วมเป็นพันธมิตร เพราะเชื่อมั่นพื้นฐานธุรกิจเดิม CMO ที่ต่อยอดได้อีกมาก และสามารถประกอบร่างกับพันธมิตรใหม่ๆ ก้าวสู่ Tech Company วิสัยทัศน์ใหม่ของ CMO ตรงกับงานที่ Transformational ทำอยู่ คือการทรานส์ฟอร์มธุรกิจเดิมสู่โลกดิจิทัล ทั้งตัวองค์กร CMO เองและต่อไปคือลูกค้าของ CMO
“ตั้งแต่ตัดสินใจออกจากไลน์ ประเทศไทย ในปี 2562 และตั้งบริษัท Transformational เพราะต้องการเห็นบริษัทไทย ทรานส์ฟอร์มสู่บริษัทเทค ไม่เช่นนั้น Tech Company ก็จะมีแต่บริษัทต่างชาติ ด้วยพื้นฐานที่ดีของบริษัทไทยเชื่อว่าสามารถทรานส์ฟอร์มสร้างธุรกิจในโลกดิจิทัลได้”