“กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” หรือ “BJC Big C” เปิดผลประกอบการปี 2564 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 138,465 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 4.3% (ปี 2563 : 144,732 ล้านบาท) ขณะที่กำไรสุทธิ 4,286 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากปีที่แล้ว (ปี 2563 : 4,552 ล้านบาท) แบ่งเป็น
– กลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์
- รายได้จากการขาย 19,937 ล้านบาท (+0.8%)
- กำไรสุทธิ 2,167 ล้านบาท (+10.8%)
- กำไรสุทธิปกติ 2,167 ล้านบาท (+10.4%)
– กลุ่มสินค้าและบริการอุปโภคบริโภค
- รายได้จากการขาย 22,685 (+9.7%)
- กำไรสุทธิ 1,229 (+5.0%)
- กำไรสุทธิปกติ 1,229 (+3.7%)
– กลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และเทคนิค
- รายได้จากการขาย 9,064 ล้านบาท (+14.0%)
- กำไรสุทธิ 1,026 ล้านบาท (+44.8%)
- กำไรสุทธิปกติ 1,026 ล้านบาท (+42.4%)
– กลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่
- รายได้จากการขาย 91,302 ล้านบาท (-8.8%)
- รายได้รวม 102,373 ล้านบาท (-9.1%)
- กำไรสุทธิ 2,454 ล้านบาท (-38.0%)
- กำไรสุทธิปกติ 2,454 ล้านบาท (-42.9%)
ลุยขยายสาขาใหม่
ถึงแม้ผลประกอบการกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ของ “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” จะติดลบ สาเหตุหลักเกิดจาก
– การเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิมลดลง
– สถานการณ์ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าเช่า
– ต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
– ปริมาณการซื้อขายลดลง ขณะที่สัดส่วนการขายสินค้า B2B เพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามในรอบปีที่ผ่านมา “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” ยังคงเดินหน้าขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4/2564 ได้เปิดสาขาใหม่ดังนี้
– บิ๊กซี ไฮเปอร์มาร์เก็ต 2 สาขา
– บิ๊กซี มินิ 155 สาขา ในจำนวนนี้เปิดในกัมพูชา 1 สาขา
– ร้านขายยาเพียว 2 สาขา
ส่งผลให้สิ้นปี 2564 “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” มีเชนค้าปลีกรวมกันกว่า 1,713 สาขา แบ่งเป็น
– ไฮเปอร์มาร์เก็ต 154 สาขา
– ซูเปอร์มารเก็ต 61 สาขา
– บิ๊กซีมินิ 1,353 สาขา (รวมสาขาแฟรนไชส์ 59 สาขาในไทย และ 1 สาขาในกัมพูชา)
– ร้านขายยาเพรียว 146 สาขา
เสริมแกร่งพอร์ตฯ “ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง” ลุยโมเดล “MM Food Service” จับตลาด HoReCa – “ร้านโดนใจ” เจาะโชห่วย – ร้านขายยาสิริฟาร์มา”
แผนกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ในปี 2565 “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” ยังคงเดินหน้าขยายสาขา ทั้งภายใต้แบรนด์บิ๊กซี และปั้นเชนค้าปลีก-ค้าส่งแบรนด์ใหม่ เนื่องจากธุรกิจเชนค้าปลีก-ค้าส่ง เป็นช่องทางในการเข้าถึงฐานผู้บริโภคทั่วประเทศ และผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ เห็นได้จากงบลงทุนในปี 2565 14,000 – 15,000 ล้านบาท มากถึง 70% ใช้ไปกับการขยายสาขา และรีโนเวทสาขา โดยเฉพาะของบิ๊กซี ซึ่งเป็นเชนค้าปลีกหลักของกลุ่ม BJC
ปี 2565 ตั้งเป้าขยายสาขาบิ๊กซี และร้านขายยาเพรียว ดังนี้
– ไฮเปอร์มาร์เก็ตบิ๊กซี 2 – 3 สาขา แบ่งเป็นในไทย 1 สาขา, ลาว 1 สาขา และกัมพูชา 1 สาขา
– ซูเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้แบรนด์บิ๊กซี บิ๊กซี ฟู้ดเพลส 5 สาขา
– บิ๊กซีมินิ ประมาณ 150 – 300 สาขาในไทย และ 50 สาขาในกัมพูชา
– ร้านขายยาเพรียว 7 สาขา
ขณะเดียวกัน นอกจากเดินหน้าขยายสาขา “บิ๊กซี” ภายใต้ Store Format ต่างๆ แล้ว “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” ยังได้เสริมความแข็งแกร่ง Business Portfolio กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ ด้วยการปั้นโมเดลใหม่ที่หลากหลายทั้งค้าปลีก และค้าส่ง เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้า B2B เช่น ผู้ประกอบการร้านอาหาร, ร้านค้าปลีกดั้งเดิม หรือโชห่วยในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ไปจนถึงร้านขายยาในตลาดกว้างขึ้น
– พัฒนาโมเดลค้าส่งอาหาร ภายใต้เชน “MM Food service” เจาะกลุ่มลูกค้า HoReCa ปัจจุบันมี 2 สาขาในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการดัดแปลงจากสาขาบิ๊กซี มาร์เก็ต มาเป็น MM Food Service ภายในสาขา มีจำนวนสินค้ากว่า 6,000 รายการ ครอบคลุมทั้งอาหารสด และอาหารแห้ง โดยในปี 2565 มีแผนเปิดสาขาใหม่ต่อเนื่อง
– เปิดตัวร้านขายยา “สิริฟาร์มา” (SiRi Pharma) ทั้งรูปแบบขายปลีกและส่ง สาขาแรกที่ตลาดพรานนกปลายปีที่แล้ว เหตุผลหลักที่ทำร้านขายยาโมเดลปลีก-ส่ง ครอบคลุมทั้งยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ชูจุดเด่นคือ จำหน่ายในราคาส่งให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ชิ้นแรก
เหตุผลที่ทำร้านขายยา “สิริฟาร์มา” เพราะเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจร้านขายยา เป็นผลมาจากโครงสร้างประชากรในประเทศไทย เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้คนไทยต้องการเข้าถึงการรักษาพยาบาล
ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และการขยายตัวของธุรกิจร้านขายยา กลุ่มบีเจซี บิ๊กซีจึงพัฒนาเป็น “สิริฟาร์มา” อีกหนึ่งเชนร้านขายยา เพื่อเสริมทัพพอร์ตโฟลิโอธุรกิจร้านขายยาที่ปัจจุบันกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี มีอยู่แล้วคือ “ร้านขายยาเพรียว”
หากทว่าความแตกต่างระหว่าง 2 เชนนี้คือ “สิริฟาร์มา” ขายทั้งปลีกและส่ง โดยขายปลีก จะเน้นราคาส่งให้กับผู้บริโภคตั้งแต่ชิ้นแรก และมีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์
แผนธุรกิจของ “สิริฟาร์มา” ในปี 2565 เตรียมเปิด 2 สาขาในกรุงเทพฯ และตั้งเป้าขยายเพิ่ม 11 สาขาทั่วประเทศในปี 2569
– “ร้านโดนใจ” โมเดลร้านโชห่วย ด้วยการจับมือเป็นพันธมิตรร้านค้าปลีกดั้งเดิม เพื่อพัฒนา-ปรับปรุงร้านค้าให้ทันสมัย และแข่งขันได้
“กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” เล็งเห็นว่าร้านโชห่วย หรือร้านค้าปลีกดั้งเดิมที่อยู่ตามชุมชน หมู่บ้าน ตรอกซอกซอยต่างๆ ในไทยมีมากกว่า 400,000 ร้านค้า ซึ่งร้านค้าเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการเข้าถึงคนในชุมชน แต่ขณะเดียวกันพบว่าร้านโชห่วย ยังต้องได้รับการพัฒนา และปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น จึงสร้างโมเดลความร่วมมือกับร้านโชห่วย ภายใต้ชื่อร้านโดนใจ เพื่อพัฒนาร้านค้าโชห่วยให้เติบโต มีรูปแบบที่ทันสมัย มีระบบข้อมูลที่ช่วยพัฒนาการขาย โดยที่เจ้าของร้านยังคงเป็นเจ้าของร้านบริหารจัดการดูแล 100%
Photo Credit : Facebook ร้านโดนใจ DonJai
เริ่มทดลองสาขาแรกเมื่อกลางปี 2564 ปัจจุบันมีเกือบ 326 สาขา มี 4 รูปแบบคือ
– ร้านโดนใจ ไซส์ XS พื้นที่ขายไม่เกิน 20 ตารางเมตร, สินค้า 600 รายการ, พื้นที่วางสินค้าสูงสุด 10 ล็อค, ตู้แช่สินค้า 2 ตู้
– ร้านโดนใจ ไซส์ S พื้นที่ขายมากกว่า 20 – 40 ตารางเมตร, สินค้า 1,000 รายการ, พื้นที่วางสินค้าสูงสุด 27 ล็อค, ตู้แช่สินค้า 2 ตู้
– ร้านโดนใจ ไซส์ M พื้นที่ขายมากกว่า 40 – 80 ตารางเมตร, สินค้า 2,000 รายการ, พื้นที่วางสินค้าสูงสุด 55 ล็อค, ตู้แช่สินค้า 2 ตู้ และตู้แช่แข็ง 1 ตู้
– ร้านโดนใจ ไซส์ L พื้นที่ขายมากกว่า 80 – 120 ตารางเมตร, สินค้า 2,400 รายการ, พื้นที่วางสินค้าสูงสุด 88 ล็อค, ตู้แช่สินค้า 2 ตู้ และตู้แช่แข็ง 1 ตู้
ร้านโชห่วยที่เข้าร่วมโครงการ้านร่วมใจ สินค้าที่นำมาจำหน่ายในร้านส่วนใหญ่มาจากบิ๊กซี และทางบิ๊กซี จะส่งทีมงานผู้เชี่ยวชาญ มาให้คำปรึกษา ช่วยปรับปรุงร้าน และพัฒนาระบบการขาย เช่น มีระบบ POS วิเคราะห์ยอดขายสินค้าขายดี และไม่ดี เพื่อใช้จัดโปรโมชั่นดึงดูดลูกค้า, จัดเรียงสินค้าเป็นระเบียบ เพื่อให้น่าซื้อ, มีสินค้าตอบโจทย์คนในชุมชน
สเต็ปต่อไปกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ยังคงพัฒนาโมเดลร้านโดนใจต่อเนื่อง เพื่อขยายพันธมิตรร้านโช่วยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
Photo Credit : Facebook ร้านโดนใจ DonJai
- อ่านเพิ่มเติม : บิ๊กซีรุกค้าปลีก-ค้าส่ง ลดราคา-เติมร้านค้า ดึงผู้บริโภค และโชห่วยอยู่ในระบบนิเวศธุรกิจ