หากเอ่ยถึงแบรนด์ที่ติดอันดับการให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นสูงสุด และติดอันดับบริษัทที่มีผลประกอบสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก ตามการจัดอันดับของ Forbes Global ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมีแบรนด์จากแดนมังกรอย่าง GREE ปรากฏอยู่ด้วย เพราะโดยปัจจุบัน GREE อยู่ในฐานะผู้พัฒนานวัตกรรมด้านเครื่องปรับอากาศและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 36.9% ของธุรกิจเครื่องปรับอากาศทั้งหมดในประเทศจีน อีกทั้งยังมีผลประกอบการรวมในจีนสูงสุดกว่า 5.6 แสนล้านบาท และยังเป็นผู้นำในการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไปทั่วโลก โดยมีรายได้จากการขายสินค้าทะลุ 1,000,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
วันนี้เราจึงอยากชวนมารู้จัก GREE กันให้มากขึ้น ว่าพวกเขาสร้างตัวเองอย่างไรให้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ระดับโลก รวมถึงทำอย่างไรจึงสามารถรักษาการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถต่อกรกับคู่แข่งจากประเทศต่าง ๆ ได้ จนได้รับการบรรจุชื่ออยู่ใน Fortune Global 500 (GREE อยู่ในอันดับที่ 436)
ปัจจุบัน GREE จดทะเบียนในตลาดหุ้นเสินเจิ้นของจีน (Shenzhen Stock Exchange) และครองอันดับ 7 ใน “China Most Admired Company” รวมถึงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เป็นแบรนด์สัญชาติจีน โดยจุดแข็งที่ทำให้ GREE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพ สามารถสร้างผลประกอบการ และผลตอบแทนต่อนักลงทุนได้สูงมากนั้น มาจาก มีนวัตกรรมเป็นของตัวเอง
GREE มีการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมของตัวเองแล้วกว่า 79,000 สิทธิบัตร และได้รับรางวัลด้านนวัตกรรมมากมาย นอกจากนี้ GREE ยังมีศูนย์ R&D เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นของตัวเอง ดังนั้น GREE จึงไม่ได้เพียงจำหน่ายสินค้าออกสู่ตลาดโลก แต่ยังขายนวัตกรรมด้วย โดยจะเห็นว่ารายได้ของบริษัทมาจากทั้งการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ Gree และยังเป็นเบื้องหลังของนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์อีกด้วย
นวัตกรรมต้องตอบโจทย์ MegaTrend
เมื่อหันมาดูสิ่งที่ GREE คิดค้นพัฒนาเพื่อตอบสนอง MegaTrend ของเครื่องใช้ไฟฟ้าในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยความร้อนสู่โลก เทคโนโลยีที่ทดแทนการใช้แรงงาน รวมถึงเทคโนโลยีเครื่องไฟฟ้าพลังงานทางเลือก จะพบว่าล้วนเป็นเทรนด์หลักของโลกที่ประเทศต่าง ๆ ล้วนตื่นตัวทั้งสิ้น ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ GREE จะใช้จุดแข็งดังกล่าวสร้างแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจนได้รับการยอมรับและกวาดรายได้จากทั่วโลกมาครอง โดยเคยทำรายได้สุงสุดถึง 1,000,000 ล้านบาทมาแล้วเมื่อปี 2019
จดสิทธิบัตร 1 ชิ้นทุก 1 ชั่วโมง
การให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเป็นสิ่งที่ต้องมีในการเป็นองค์กรระดับโลก ซึ่งทาง GREE เองก็ระบุไว้เป็น 1 ในภารกิจสำคัญขององค์กร โดยตัวเลขล่าสุดในปี 2020 GREE สามารถจดสิทธิบัตรได้มากถึง 15,072 ใบ หรือเท่ากับว่า ทุกๆ 1 ชั่วโมง GREE จะมีการจดสิทธิบัตรด้านนวัตกรรมเฉลี่ย 1 – 2 ใบ และเป็นเพียงบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงรายเดียวที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของบริษัทที่จดสิทธิบัตรสูงสุดในประเทศจีน และติดอันดับ Top 10 ต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 แล้ว
ให้ความสำคัญกับแผนก R&D
ข้อมูลของบริษัทเปิดเผยว่า ในปี 2020 GREE มีบุคลากรฝ่าย R&D คิดเป็นเป็นสัดส่วนกว่า 17% ขององค์กรที่มีจำนวนพนักงานทั้งหมดกว่า 80,000 คน ซึ่งเท่ากับว่า GREE มีเจ้าหน้าที่แผนก R&D ถึง 14,458 คน นอกจากนั้น บริษัทยังใช้งบประมาณไปกับการ R&D มากถึง 3.69% ของยอดขาย หรือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านบาท (ข้อมูลปี 2020)
สร้าง Ecosystem อุปกรณ์อัจฉริยะ
สำหรับจุดแข็งข้อสุดท้าย นั่นคือการไม่จำกัดตัวเองอยู่กับธุรกิจเครื่องปรับอากาศ โดย GREE มีโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนครอบคลุมทุกประเภท เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องทำน้ำร้อน หม้อหุงข้าว และยังครอบคลุมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ เช่น เครื่องฟอกอากาศ พัดลมไอเย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เรียกได้ว่าสามารถเปลี่ยนบ้านทั้งหลังให้เป็น “Smart Home” ได้เลย อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีระดับอุตสาหกรรม เช่น แขนจักรกลในโรงงาน รถพลังงานไฟฟ้า รวมถึงสินค้าพลังงานทางเลือก เช่น แบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน โดยทั้งหมดมีทั้งการผลิตภายใต้แบรนด์ GREE เอง และรับผลิตให้กับแบรนด์อื่น ๆ ด้วย
จุดแข็งทั้งหมดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำให้แบรนด์ GREE สร้างชื่อได้เองโดยไม่ต้องประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะในธุรกิจกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงงานอุตสากรรม ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก เห็นได้จากค่าใช้จ่ายในการขาย (Sales Expense) ลดลง 28.76% จาก 18.3 ล้านหยวนในปี 2019 เหลือ 13.04 ล้านหยวนในปี 2020 และนี่อาจเป็นเคล็ดลับความแข็งแกร่งอย่างแท้จริงของการเป็นแบรนด์ระดับโลกก็เป็นได้