โจทย์ท้าทายธุรกิจในยุคที่ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง นอกจากการพัฒนาสินค้าและบริการให้แตกต่างจากผู้เล่นในตลาดแล้ว ยังต้องรู้จักนำ “ Data” มาช่วยวิเคราะห์อินไซต์และคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า เพราะไม่เพียงจะทำให้เข้าถึง Deep Insight และสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์ได้ตรงกับความสนใจของลูกค้าแบบ Personalized ได้อย่างแท้จริง แต่ยังนำไปสู่การสร้าง Engagement และทำให้แบรนด์ครองใจลูกค้าในระยะยาว
เช่นเดียวกับ “บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)” ที่มีการนำเทคโนโลยีอย่าง Big Data เข้ามาวิเคราะห์ Journey ของลูกค้า จนทำให้เข้าใจลูกค้าและสามารถออกแบบความคุ้มครองสุขภาพที่ฉีกกรอบประกันเดิมๆ ด้วยแบบความคุ้มครองสุขภาพ “Super Health+” ที่ตอบสนองความต้องการได้หลากหลายรูปแบบเฉพาะเจาะจง โดยแบ่งตาม Segment ตั้งแต่คนตัวเล็กไปจนถึงคนตัวใหญ่
ไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยน! โจทย์ใหม่ที่ต้องแก้เกม
ย้อนกลับไปเมื่อ 72 ปีที่แล้ว “เมืองไทยประกันชีวิต” เริ่มต้นดำเนินธุรกิจประกันในไทย ช่วงเวลานั้นถือเป็นยุคเริ่มต้นของธุรกิจประกัน และด้วยภาพลักษณ์ธุรกิจที่เข้าถึงยาก เพราะคนมองไม่เห็นความจำเป็น โจทย์ใหญ่ตอนนั้นจึงอยู่ที่การ Educate ให้คนไทยเข้าใจแนวคิดการประกันชีวิต ควบคู่ไปกับการขยายตัวแทนอย่างต่อเนื่อง
จากวันนั้นถึงวันนี้ คนไทยมีความคุ้นเคยกับประกันสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจเรื่องความปลอดภัยและดูแลสุขภาพมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่มีเทคโนโลยีและ Data เข้ามาเชื่อมโยง โจทย์ใหญ่ของ “เมืองไทยประกันชีวิต” จึงไม่ได้อยู่ที่การสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้บริโภคในเรื่องประกันและการขยายตัวแทนเท่านั้น
“ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะความต้องการของผู้บริโภค มีทางเลือกมากขึ้น และในแต่ละ Generations ยังมีความต้องการที่แตกต่างกัน รวมทั้งมองหาความคุ้มครองที่สามารถตอบความต้องการที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเองเพิ่มขึ้น”
คุณสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เล่าถึงสถานการณ์ของธุรกิจที่กำลังเผชิญในตอนนี้ ซึ่งเป็น Big Change ที่ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ ให้รองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคและโลกของประกันชีวิตที่กำลังเปลี่ยนไป เพื่อให้แบรนด์ยังคงเป็น Top of Mind ของผู้บริโภค จนนำมาสู่กลยุทธ์ใหม่กับ “MTL Health 5.0”
Super Health+ ความคุ้มครองสุขภาพที่นำ “ Data” มาออกแบบเพื่อตอบสนอง Personalized
MTL Health 5.0 เป็นกลยุทธ์ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น ด้วยการนำ Data ที่เป็น Insight จริงของลูกค้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาแบบประกันให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายแต่ละคนมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ที่ใช้ “อายุ” และ “รายได้” มาเป็นตัวกำหนดแบบความคุ้มครอง ซึ่งการใช้วิธีนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการของเมืองไทยประกันชีวิตสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้หลากหลายและตรงจุด รวมทั้งเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มและทุกไลฟ์สไตล์ยิ่งขึ้น
คุณสาระ เล่าเหตุผลที่เลือกใช้ไลฟ์สไตล์มาเป็นตัวกำหนดและออกแบบผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ว่า เพราะจากการพูดคุยกับลูกค้าในแต่ละ Generations ทำให้เห็น Insight ว่า แม้ลูกค้าจะอายุเท่ากัน แต่บางคนมีไลฟ์สไตล์ต่างกัน ทำให้ความต้องการในเรื่องความคุ้มครองสุขภาพที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน อย่างกรณีการทำฟัน และการดูแลสายตา จากเดิมที่ความคุ้มครองเหล่านี้จะรวมอยู่ในแบบประกัน ซึ่งลูกค้าบางคนไม่มีปัญหาสายตา จึงไม่มีความต้องการความคุ้มครองด้านนี้ ในขณะที่บางคนใช้สายตาค่อนข้างเยอะ ทำให้ต้องตรวจสายตาเป็นประจำ แบบประกันที่มีอยู่ก็อาจจะไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่าย
นั่นจึงเป็นที่มาให้หันมาใช้ไลฟ์สไตล์เป็นตัวกำหนดแบบความคุ้มครองมากขึ้น จนล่าสุด ได้ออกมาเป็นความคุ้มครองสุขภาพเหมาจ่าย “Super Health+” ที่ครอบคลุมลูกค้าทุกเซ็กเม้นต์ ตั้งแต่คนตัวเล็กไปจนถึงคนตัวใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 6 แบบตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า 6 กลุ่ม คือ
1.เฮ้าส์คีฟปิ้ง ประกันสำหรับแม่บ้าน, คนทำงานบ้าน, คนขับรถ
2.สุขภาพแบบชดเชยรายวัน
3.เหมาจ่าย Extra ความคุ้มครอง 2-5 แสนบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
4.D Kid Plus ความคุ้มครองสุขภาพสำหรับลูกน้อย คุ้มครอง 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
5. D Health Plus ความคุ้มครอง 1-5 ล้านบาทต่อการรักษาครั้งใดครั้งหนึ่ง
6. Elite Health Plus คุ้มครองสูง 20-100 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเพิ่มความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็น แพคเกจตรวจสุขภาพ ทำฟัน ดูแลสายตา ความคุ้มครองคลอดบุตร ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก และความคุ้มครองโรคร้ายแรง ได้ตามความต้องการ พร้อมทั้งขยายความคุ้มครองยาวถึง 99 ปี แต่ซื้อประกันได้จนถึงอายุ 90 ปี
“เราต้องก้าวข้ามจากกรอบเดิมๆ การทำการตลาดที่ใช้อายุเป็นตัวกำหนดก็ยังมี แต่การนำ Data มาพัฒนาแบบให้ตอบสนองไลฟ์สไตล์ลูกค้า และสามารถให้ลูกค้าแยกซื้อความคุ้มครองได้เป็นสิ่งสำคัญของการทำการตลาดในยุคนี้ เพราะจะทำให้เราเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าแต่ละคนแต่ละกลุ่มมากขึ้น”
เดินหน้าสู่การเป็น Health Provider
นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองสุขภาพที่ตอบความต้องการของลูกค้าทุก Journey ในแบบรายบุคคลมากขึ้นแล้ว ภายใต้กลยุทธ์ MTL Health 5.0 เมืองไทยประกัน ยังนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาการบริการให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ายิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น MTL Click แอปพลิเคชันที่รวบรวมทุกบริการของเมืองไทยประกันชีวิตมาไว้ในแอปพลิเคชันเดียว เช่น การตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ ผลประโยชน์และความคุ้มครอง การเคลม รวมถึงการชำระเบี้ยประกันภัยออนไลน์ ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็นแสนรายจากเดิมผู้ใช้อยู่ในหลักหมื่นรายเท่านั้น
รวมทั้งพัฒนา MTL Fit ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสุขภาพที่จะทำให้ทุกคนรู้จักสุขภาพของตนเองและหันมาดูแลสุขภาพกันมากขึ้น โดยภายในแอปฯ จะมีฟีเจอร์การออกกำลังกายที่เหมาะกับแต่ละบุคลิก พร้อมรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์สุขภาพของแต่ละคน ซึ่งจะช่วยให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ง่ายและสนุกกว่าเดิม ขณะเดียวกัน ยังได้เปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่ “Life Stage” ทุกช่วงเวลาของชีวิต สุขภาพเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ โดยมี “เบลล่า ราณี แคมเปน” หนึ่งในลูกค้าตัวจริง มาเป็นตัวแทนถ่ายทอดประสบการณ์ถึงความสำคัญต่อการเลือกซื้อความคุ้มครองสุขภาพ
“เราอยากจะเป็น Health Provider ที่เข้ามาช่วยดูแลชีวิตของคนไทยทุกคน ซึ่งไม่ใช่แค่การนำเทคโนโลยีมาออกแบบ Feature ประกันให้ตอบความต้องการแบบเฉพาะตัว แต่ราคาเบี้ยประกันยังกำหนดจากพฤติกรรมของแต่ละคน จากเดิมที่ใช้อายุมาเป็นกำหนด”
ทั้งหมดคือ รูปแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งของเมืองไทยประกันชีวิต เพื่อให้ความคุ้มครองสุขภาพเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายทุกกลุ่ม และผลักดันให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในทุก Journey ของการดูแลสุขภาพ ซึ่งในอนาคต คุณสาระ บอกว่า ยังจะได้เห็นการพัฒนาแบบความคุ้มครองสุขภาพที่ฟิตกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง