ถึงแม้ว่า Disney+ เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่มาแรงด้วยจำนวนสมาชิกใหม่กว่า 14.4 ล้านราย ภายใน 3 ไตรมาส (ปีปฏิทินการทำงานของดิสนี่ย์) รวมแล้วมีสมาชิกรวม 221 ราย แซงหน้า Netflix ที่มีลูกค้าอยู่ 220.7 ล้านราย เป็นที่เรียบร้อย แต่ในไตรมาส 3 ดิสนี่ย์ก็ลงทุนในธุรกิจนี้ ไปกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทาง Disney+ จึงต้องเร่งเพิ่มรายได้เข้ามา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคที่กลับไปทำงานในออฟฟิศ หรือว่าเลิกล็อกดาวน์กันแล้ว นอกจากนี้ ‘คอนเทนต์’ ฟอร์มยักษ์ ของแพลตฟอร์มคู่แข่งรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น The Lord of the Rings: The Rings of Power ซี่รี่ย์ที่ต่อยอดมากจาความสำเร็จของภาพยนตร์ไตรภาค The Lord of the Rings จาก Amazon Prime รวมทั้ง House of the Dragon ภาคแยกของ Game of Thrones ที่เล่าเรื่องเฉพาะตระกูล Targaryen ของค่าย HBO กำลังจะลงจอ ในประเทศไทยเอง Amazon Prime ก็ได้เปิดตัวทำตลาดแล้ว
โดยทาง Disney+ ใช้วิธีหารายได้จาก “โฆษณา” เพิ่มเติม นั่นทำให้ลูกค้าของ VDO Streaming รายนี้ต้องเจอกับแพ็กเกจแบบที่มีโฆษณาเข้ามาเป็นทางเลือก หรือจะยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อเลี่ยงโฆษณา
สำหรับแพ็กเกจใหม่ จะมี 2 แนวทาง ประกอบด้วย
– Ad Tier ราคาเท่าเดิม 7.99 เหรียญต่อเดือน แต่ต้องรับชมโฆษณา
– ไม่มีโฆษณา แต่ต้องจ่ายราคาแพงขึ้น อยู่ที่ 10.99 เหรียญต่อเดือน
โดยรูปแบบที่มีโฆษณานั้นจะให้สมัครเฉพาะสมาชิกรายเดือนเท่านั้น ส่วนแบบราคา 10.99 เหรียญจะเลือกเป็นรายเดือนหรือรายปีก็ได้
อย่างไรก็ตาม โฆษณาจะไม่ปรากฏใน “โปรไฟล์สำหรับเด็ก” รวมทั้ง Bob Chapek ซีอีโอ ก็กล่าวว่า “จะมีโฆษณาน้อย เพื่อประสบการณ์ที่ดีในการรับชม” โดยแพ็กเกจดังกล่าวจะเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกา วันที่ 8 ธันวาคม ปี 2022 นี้ เร็วกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเริ่มต้นในปีหน้า