HomeSponsoredสิงห์ เอสเตท ผนึกพันธมิตร มุ่งสู่ภารกิจ Carbon Neutrality 2030 “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” เฟสแรก 1 ล้านตร.ม.

สิงห์ เอสเตท ผนึกพันธมิตร มุ่งสู่ภารกิจ Carbon Neutrality 2030 “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” เฟสแรก 1 ล้านตร.ม.

แชร์ :

เห็นได้ชัดว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งมนุษย์และสัตว์ป่าต่างเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในการเอาชีวิตรอดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่เป็นเหตุให้ภัยธรรมชาติในรูปแบบต่าง ๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม พายุ คลื่นความร้อน ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และธารน้ำแข็งที่กำลังละลาย ซึ่งสร้างความหายนะให้กับการดำรงชีวิตและคุกคามที่อยู่อาศัยของทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ แน่นอนเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ต้นตอของปัญหาเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ ในฐานะที่ “สิงห์ เอสเตท” (Singha Estate) เป็นองค์กรที่ประกาศภารกิจมุ่งสู่ Carbon Neutrality 2030 จึงผุดโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” ประเดิมเฟสแรกปลูกป่าบนพื้นที่ 1 ล้าน ตร.ม. หรือราว 625 ไร่ ในพื้นที่ของสิงห์ ปาร์ค เชียงราย แต่คำถามที่น่าสนใจคือ ดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำในเครือบุญรอดบริวเวอรี่จะทำอย่างไร จึงจะปลุกปั้นให้โครงการที่เต็มไปด้วยความท้าทายนี้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เลือกพื้นที่ป่ารอยต่อ ที่มีความสำคัญในการสร้างป่าที่อุดมสมบูรณ์ในระยะยาว

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท ขับเคลื่อนธุรกิจโดยคำนึงถึงความสำคัญของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในทุกมิติเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการอย่างมีธรรมาภิบาล ด้วยความเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ได้นำแนวคิดความยั่งยืนนี้มาใช้ในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ เช่น การตั้งเป้าลดของเสียที่เกิดจากการก่อสร้างให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุดได้เปิดตัว ‘โครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว’ ด้วยมาตรฐาน AGI (ASEAN Green Initiative) ประเดิมเฟสแรกกับการปลูกป่าต้นน้ำ จากการสนับสนุนด้านพื้นที่ปลูกป่าโดยสิงห์ปาร์ค เชียงราย จำนวน 625 ไร่ เป็นเขตพื้นที่เชิงเขา และเขตป่ารอยต่อ ที่มีความสำคัญในการสร้างป่าในระยะยาว

เมื่อถึงเวลา ป่าที่ปลูกใหม่เติบโตกลายเป็นป่าใหญ่และเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกับป่าเดิมที่มีอยู่แล้ว ก็จะช่วยเพิ่มความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศ และส่งผลต่อการลดโลกร้อนได้ การปลูกป่าในเขตพื้นที่ดังกล่าวจึงถือเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพราะนอกจากการปลูกป่าด้วยมาตรฐาน AGI จะมีการประเมินวัดผลการเติบโต และการขยายตัวของพื้นที่ป่าแล้ว ยังต้องเป็นพื้นที่ป่าที่เปิดโอกาสให้ชุมชนรอบข้างเข้ามามีส่วนร่วม และใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

ผนึกพลังพันธมิตรร่วมผลักดันภารกิจใหญ่

ภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่มีคำว่า One Man Show ดังนั้นนอกจากสิงห์ เอสเตท จะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสิงห์ ปาร์ค เชียงราย แล้ว ยังมีพันธมิตรด้านความยั่งยืนจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน ที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเพื่อขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

พันธมิตรเหล่านี้ประกอบด้วย “จังหวัดเชียงราย” ที่แม้จะมีพื้นที่ป่าอุดมสมบูรณ์เมากที่สุดเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศไทย และไม่มีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ปล่อยคาร์บอนในปริมาณมาก แต่ก็พร้อมสนับสนุนโครงการนี้อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าในแหล่งต้นน้ำและสร้างปอดให้กับโลกให้มากขึ้น

ส่วน “สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) กรมป่าไม้” ให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกป่าที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนอนุเคราะห์พรรณไม้พื้นเมืองและพรรณไม้ท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อให้ผืนป่าที่ปลูกขึ้นมาใหม่นี้ มีความหลากหลายทางชีวภาพและกลมกลืนกับผืนป่าเดิมที่มีอยู่

ด้าน “สยามคูโบต้า ใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรกลทางการเกษตรต่าง ๆ ที่ทันสมัยดำเนินการด้วยความรวดเร็ว เพื่อปรับพื้นที่และขุดหลุมให้เหมาะสมกับการปลูกต้นกล้า ขณะเดียวกันก็ใช้โดรนการเกษตรเพื่อพ่นปุ๋ย

ขณะที่ “ไทยคม” ใช้เทคโนโลยีดาวเทียมสำรวจทรัพยากรโลก (Earth Observation) ที่บูรณาการร่วมกับความเชี่ยวชาญทางด้านแบบจำลองปัญญาประดิษฐ์และแมชชีน เลิร์นนิง ของทางไทยคมเอง มาใช้เป็นนวัตกรรมสำหรับการติดตามและตรวจสอบการเติบโต รวมถึงสุขภาพของต้นไม้ รวมถึงปริมาณการดูดซับคาร์บอน โดยเฉพาะในพื้นที่แปลงปลูกป่าขนาดใหญ่เช่นนี้ที่ยากต่อการใช้คนเข้าไปดูแลรักษา

ที่สำคัญ “ชุมชนท้องถิ่น” ที่อาศัยอยู่รอบข้างจะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์และดูแลรักษาผืนป่าที่ปลูกใหม่แห่งนี้ และใช้ประโยชน์จากผืนป่าอย่างเหมาะสมเพื่อการยังชีพอย่างยั่งยืน

ไม่จำเป็นต้องเลือก เมื่อความเป็นกลางทางคาร์บอนเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

ความเป็นกลางทางคาร์บอน คือ การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ ดังนั้นสำหรับ Carbon Neutrality 2030 ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญภายใต้แนวคิดด้านการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ของสิงห์ เอสเตท ที่จะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2573 จึงเลือกใช้ทั้ง 2 แนวทางที่มีประสิทธิภาพ โดยแนวทางแรก คือการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offsets) จากการปลูกป่าผืนใหญ่เพื่อเพิ่มจำนวนต้นไม้ให้มากขึ้น เพื่อดูดซับคาร์บอนในอากาศ และอีกแนวทางหนึ่ง คือการลดการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่ต้น ซึ่งไม่เพียงแต่ดำเนินการภายในองค์กรเท่านั้น หากแต่ยังต้องการสร้างจิตสำนึกและกระตุ้นเตือนให้ทุกคนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนำไปสู่การลด ละ เลิก กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อน เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่คุ้นชิน แต่เชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยปลายนิ้ว

สำหรับโครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วในเฟสต่อไป จะเป็นป่ากลางน้ำในเมือง โดยคาดว่าจะปลูก ในกรุงเทพมหานคร จากนั้นจะเป็นการปลูกป่าปลายน้ำ ซึ่งเป็นป่าโกงกาง และป่าชายเลนที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมในเครือของสิงห์ เอสเตท บนพื้นที่ 120 ไร่ หรือราว 192,000 ตร.ม.

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าแม้โครงการปลูกป่าด้วยปลายนิ้วจะเป็นภารกิจทิ่สิงห์ เอสเตทให้คำมั่นสัญญาในระยะยาว และมีปัจจัยต่าง ๆ มากมายที่ส่งผลต่อทุกขั้นตอนของการดำเนินการ แต่ภายใต้การบริหารจัดการที่ดี ด้วยหลักวิชาการที่ถูกต้อง และความร่วมมือ ร่วมใจ และร่วมแรงอย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้เส้นทางสู่ความสำเร็จเป็นจริงได้ไม่ยาก

 


แชร์ :

You may also like