จากคำสอนของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่กล่าวไว้ว่า “บัญชีการเงิน คือแสงเทียนนำพาให้เดินไปในธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ที่ต้องให้เกียรติคนทำบัญชี จนกลายมาเป็นตำแหน่งสำคัญที่ถูกวางให้อยู่ใกล้ตัวตลอด เพราะมองว่าพอเข้าใจบัญชี เข้าใจเส้นทางธุรกิจทุกอย่างก็จะถูกบริหารจัดการออกมาได้อย่างตรงจุด
ทำให้อาณาจักรของ “เจ้าสัวเจริญ” ประสบความสำเร็จในธุรกิจมากมายสามารถสร้างการเติบโต มั่นคง ขยายอาณาจักรไปยังหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่เครื่องดื่ม ค้าปลีก ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม และอีกมากมายในเครือ
แนวคิดดังกล่าวยังถูกส่งต่อไปยังเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ เพื่อต่อยอดให้แก่กลุ่มธุรกิจในเครือมากมายจนประสบความสำเร็จ ที่น่าจับตาคือ “กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี” ภายใต้การนำทัพของ “คุณฐาปณีและคุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี นำหลักคิดดังกล่าวมาใช้ในการทำงาน เพื่อกุมทัพใหญ่ของบีเจซี บิ๊กซี นับตั้งแต่ปี 2008 จากยอดขายจาก 10,000 ล้านบาท มาร์เก็ตแค็ป 4,000 ล้านบาท จนประสบความสำเร็จตลอดระยะเวลากว่า 14 ปี เติบโตมียอดขายทะยานกว่า 160,000 ล้านบาท สร้างมาร์เก็ตแค็ปไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาทในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี กล่าวว่า จากแนวคิดดังกล่าวถูกนำมาสานต่อและต่อยอดจนบีเจซีบิ๊กซี ประสบความสำเร็จมายาวนาน กลายเป็นธุรกิจค้าปลีกบริษัทแรกๆที่ขยายธุรกิจในอาเซียน มีพาร์ทเนอร์กว่า 10,000 ราย สามารถสร้าง platform การค้าส่ง ค้าปลีกทางออฟไลน์และออนไลน์มีฐานลูกค้า 18 ล้านคนในภูมิภาคอาเซียน ทั้ง เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ไปจนถึงการเปิดการค้าที่ประเทศจีนร่วมกับ TenCent บริษัทด้านไอทีแบบ One-Stop Online Lifestyle เบอร์ 1 ของจีนอีกด้วย
“แม้คุณพ่อ (เจ้าสัวเจริญ) จะไม่ได้เรียนด้านบัญชีมา แต่ให้ความสำคัญกับคนทำหน้าที่บัญชีเป็นอย่างมาก และเข้าใจวิธีการทำบัญชีเป็นอย่างดี เพราะมองว่าเป็นส่วนสำคัญของการทำธุรกิจ มีการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างรอบคอบมาโดยตลอด แนวคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น คุณพ่อสอนเสมอว่าให้มองว่า การทำธุรกิจหากเกิดปัญหา ให้มองเป็น Worst Case อย่างสูงสุดว่ารับไหวหรือไม่และนั่น เพื่อรับมือเสมอ คือแนวคิดที่นำมาใช้ในการสร้างการเติบโตของทางกลุ่ม” คุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล เผยถึงแนวคิดที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในครั้งนี้
อย่างไรก็ดีท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมค้าปลีกที่ต้องเผชิญหลายปัจจัยลบ ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนค่าพลังงาน รวมถึงการเข้ามาของต่างชาติ ขณะที่การเข้ามาของเทคโนโลยียุคใหม่ ก็ทำให้ธุรกิจรีเทล ถูกดิสรัปอย่างหนักตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเผชิญมรุสมหลายระลอก BJC และ Big C จึงมีแนวคิดในการบูรณาการค้าปลีกแบบองค์รวม
โดยเอาจุดแข็งสำคัญที่ BJC และ Big C ดำเนินธุรกิจมากว่า 140 ปีผสานเข้ากับ Knowhow และองค์ความรู้ต่างๆที่มี เป็นแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถมารวมพลังกันเพื่อทำให้ประเทศและการค้าของไทยมีความแข็งแกร่งในอาเซียน จึงเป็นที่มาของการทำ BASE Program เพื่อให้เป็นจุดที่ทำให้เกิดไอเดียใหม่ๆ ได้ทดลอง ได้คุยหารือกัน และใช้กลไกของ Big C ทดลองทำการค้า โดยมีแนวคิดของ “เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี” เข้ามาเป็นคีย์สำคัญในการผลักสร้างระบบนิเวศค้าปลีกให้แก่ผู้ประกอบการ
จากคัมภีร์ “บัญชีแห่งการเงิน” สู่ BASE หลักสูตรหนุนรีเทลฝ่าวิกฤตดิสรัป
ไม่เพียงแต่ภายในองค์กรเท่านั้น หากแต่ วันนี้ BJC Big C เดินหน้ารับกระแสโลกหลังโควิด-19 ภาคธุรกิจคือมิติที่ต้องเร่งปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของเทรนด์ เทคโนโลยี รวมทั้งวิธีคิดใหม่ๆ ยังมีเป้าหมายนำองค์ความรู้และแนวคิดเหล่านี้ถ่ายทอดไปยังผู้ประกอบการค้าปลีก ให้ฝ่าความท้าทายท่ามกลางกระแสดิสรัปชั่นในอุตสาหกรรม โดยมีคัมภีร์ “บัญชีแห่งการเงิน” ที่เจ้าสัวเจริญ ให้ความสำคัญเข้ามาเป็น Pain Piont ในการบริหารจัดการ
เป็นหลักสูตร หลักสูตร “BASE” ย่อมาจาก BJC BIGC ACADEMY OF SMART ENTERPRENEURS โดยมีหมุดหมายที่สำคัญคือสร้างผู้นำยุคใหม่ในยุค 5.0 นี้ เพื่อสร้างกลไกการขับเคลื่อนทางธุรกิจค้าปลีก ที่ครอบคลุมด้วยเรื่องของคน เทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์ (Humanity + Technology + Creativity) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการสร้างสรรค์ธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (SDG/Sustainability Development Growth)
นอกจาก BJC และ Big C จะใช้ Knowhow ที่มีในกาสร้างสรรค์หลักสูตรแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมดีไซน์ ออกแบบความต้องการ ผ่านการเขียนเล่าในสิ่งที่อยากรู้ และพร้อมพัฒนาต่อยอดสร้างเครือข่ายความร่วมมือและความสัมพันธภาพอันดี อันนำไปสู่การเสริมสร้างเชื่อมโยงและต่อยอดโอกาสที่ดีร่วมกันทั้งกับ BJC & Big C และ SME ต่างๆ เพื่อมองหาผู้ประกอบการที่รักในธุรกิจ รู้กระบวนการทำงานเพื่อพัฒนาความยั่งยืนร่วมกันทั้งในไทยและต่างประเทศที่บีเจซี บิ๊กซีขยายเข้าไปทำกิจการ นี่จึงกลายเป็นการเรียนรู้ร่วมกันที่ฝั่ง BJC กับ Big C เข้าใจผู้ประกอบการ SMEs และพาร์ทเนอร์อื่นๆ ไปด้วยกัน
โดย BASE Program เป็นหลักสูตรการเรียนการสอนแบบรายวีครวม 12 สัปดาห์ มีค่าใช้จ่าย 190,000 บาท ต่อคอร์ส และเปิดรับจำนวน 120 คน เริ่มคลาสแรกวันที่ 12 มกราคม-6 เมษายน 2566 นำร่องหลักสูตรแรกด้วยการรวบรวมทีมผู้บริหารระดับ C-Level ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี และกูรูชั้นนำของประเทศ มาร่วมแชร์แนวคิด และเทคนิคการสร้างธุรกิจยุคใหม่ในหลากหลายมิติ เช่น Business Transformations, Finance และ Leadership เป็นต้น ที่เมื่อจบหลักสูตรไปกลุ่มคนเหล่านี้จะได้ต่อยอดสู่ธุรกิจบิ๊กซีทั้งในและต่างประเทศ และทุกที่ๆ บิ๊กซีไป
ซึ่งรายชื่อวิทยากรกิตติมาศักดิ์ที่มาเปิดคอร์สในวันแรก ชื่อว่า “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ก็การันตีความ Exclusive ได้แล้ว โดยคุณอัศวินเล่าว่า ที่ขอคิวมาได้ เพราะ ‘อยู่บ้านเดียวกันครับ’
ภายใต้วิชั่นของ “คุณอัศวิน” ยังต้องการปั้นให้หลักสูตรดังกล่าวกลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่มาเรียนได้ประโยชน์ ขณะเดียวกันสำหรับคนที่ไม่ได้มาเรียน จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการอื่นๆ ลุกขึ้นมาสร้าง Network ด้านการเติบโตของธุรกิจค้าปลีก ในกลุ่มบีเจซีเอง ก็ยังมี M Acadamy ที่ใช้เป็นสถาบันต่อยอดในการพัฒนาคน ซึ่งอาจจะมีการเปิดคอร์สการเรียนรู้ให้กลุ่มคนทั่วไปในอนาคต และเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการอีกชุดหนึ่งในอนาคต
สร้างทักษะ เพิ่ม Network ปั้นเครือข่าย SME Retail
ด้าน คุณธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาทำหน้าที่ดูแลหลักสูตร เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายความร่วมมือและความสัมพันธภาพอันดี อันนำไปสู่การเสริมสร้างเชื่อมโยงและต่อยอดโอกาสที่ดีร่วมกันทั้งกับ BJC & Big C และ SME ต่างๆ ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรีเทลให้มากที่สุด
ไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมค้าปลีกเท่านั้นที่ถูกดิสรัป หากแต่หลักสูตรการเรียนในปัจจุบันยังถูกดิสรัปหลักสูตร ด้วยพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ชอบอะไรยาวนาน เลือกโฟกัสเฉพาะสิ่งที่สนใจ ทำให้มีการปรับระยะเวลาหลักสูตรสั้นลง ตอบโจทย์มากขึ้น จากอดีตที่มีหลักสูตรเฉพาะมากมายและกินเวลาค่อนข้างนาน และนั่นคือสิ่งที่ BASE พัฒนาและตอบโจทย์ ไม่เพียงด้านองค์ความรู้เท่านั้น
“ที่ผ่านมาผมเห็นเทรนด์การเรียนรู้หลักสูตรแบบเป็นรายอุตสาหกรรม เช่น อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้ประโยชน์สูงมาก ทั้งเรื่องเครือข่ายและความเป็นตัวจริงของวิทยากรแต่ละท่าน ไปจนถึงผู้เรียนเองที่ทำให้การดูงานเข้มเข้นมากๆ ลุยกันถึงไซต์งาน แล้วก็ช่วยเหลือกัน หาช่าง หาวัสดุก่อสร้างอันไหนดี จนกลายเป็นประโยชน์ แล้วอุตสาหกรรมค้าปลีกนี่เป็นอุตสาหกรรมที่ Disrupt สูงมากนะ สำหรับผม ธุรกิจที่ Disrupt สุดๆ 4 อันดับแรกประกอบไปด้วย สื่อ โทรคมนาคม ธนาคาร แล้วก็ค้าปลีกนี่แหละ”
นอกเหนือจากเรื่องเนื้อหาแล้ว ประสบการณ์ของ โจ้-ธนา ที่ในแวดวงธุรกิจรู้กันดีว่าเขาเคยปลุกปั้นหลักสูตร ABC กับม.ศรีปทุม มาแล้ว นั่นหมายถึง BASE ไม่ได้มีแค่ฝั่งของเนื้อหาเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงการกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม ให้ผู้เรียนได้มี “โอกาส” สร้างศักยภาพมากที่สุด โดยหลักสูตร BASE จะกินระยะเวลาในการเรียน 4 เดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พอดีสำหรับการบริหารจัดการของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน นานพอที่จะรู้จักกัน นานพอที่จะเรียนรู้โดยที่ยังไม่รู้สึกเบื่อ จากอดีตหลักสูตรการศึกษาจะมาเป็นคอร์ส มีระยะเวลาในการเรียนตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป นับว่าไม่ตอบโจทย์การศึกษาสมัยใหม่เท่าไรนัก
ขณะที่แต่ละหัวข้อของการศึกษาได้เลือกประเด็นและทักษะที่สำคัญที่ผู้ประกอบยุคใหม่ต้องมี อาทิ ผู้นำยุคใหม่ในศตวรรษหน้า การวางกลยุทธ์ทางธุรกิจ ตลอดจนการมีภาวะผู้นำที่ดี และอีกหนึ่งความพิเศษที่สำคัญคือการเปิดรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไปเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรนี้ โดย BASE ถือเป็นหลักสูตรแรกในไทยที่เน้นการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการพาณิชย์ยุคใหม่ที่เรียกว่า Connected Commerce เพื่อสร้างธุรกิจให้เติบโตไปด้วยกันผ่านมุมมองและแนวคิดจากกูรูชั้นนำจากแขนงต่างๆ ทั่วประเทศ
ทั้งหมดเพื่อสร้าง Network หรือระบบนิเวศน์ของธุรกิจค้าปลีกให้เข้มแข็งขึ้น หลังโดนกระแสดิสรัปอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัย Partnership + Community ระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกด้วยกันเอง เพื่อเดินหน้าสู่ Future Retail ที่จะเกิดขึ้นในอีก 1-3 ปีข้างหน้าให้ปรับตัวร่วมกัน
อย่างไรก็ดีแม้ BASE จะเพิ่งเกิดขึ้นเป็นรุ่นแรก แต่ในระยะยาว การบ่มเพาะองค์ความรู้ หลักสูตรการศึกษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบนิเวศน์ของธุรกิจค้าปลีก ที่ไม่ได้หมายเพียงแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อม แต่คือการสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจธุรกิจ ที่ทุกภาคส่วนไปด้วยกัน ภายใต้ปรัชญาของทางเครือฯ “คู่ค้าและลูกค้าต้องดีไปด้วยกัน” หน้าที่ของทางกลุ่มคือการผลิตสินค้าที่ดี มีคุณภาพ วัตถุดิบ กระบวนการที่มีความยั่งยืน หลักสูตรคือส่วนหนึ่งของความยั่งยืน เพราะเป็นการสร้างการเติบโตระยะยาวให้คู่ค้า ให้กลายมาเป็น Network สำคัญของในการสร้างระบบนิเวศน์ของค้าปลีกที่ยั่งยืน
นับเป็นหลักสูตรที่สำคัญที่จะเข้ามาเสริมสร้างการพัฒนาให้กับภาคธุรกิจ ทั้งผู้ประกอบการรุ่นใหม่และผู้ที่สนใจ โดยเฉพาะกลุ่มพาร์ทเนอร์ คู่ค้า ของกลุ่มบีเจซี บิ๊กซี ให้สามารถเติบโตและปรับองค์กรให้ก้าวเข้าสู่การทำ Digital Transformation ท่ามกลางสถานการณ์ท้าทายนี้ได้อย่างเท่าทัน
อ่านเพิ่มเติม