แนวโน้ม “การลาออกครั้งใหญ่ระลอกใหม่” (The Great Resignation) ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการทำงานในช่วงโควิด-19 ทั้งจากนโยบายบริษัท ปัจจัยเศรษฐกิจ การเมืองโลก ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับคนทำงานในปีนี้
นับเป็นปีที่ 3 ที่ Adecco Group บริษัทจัดหางาน ได้จัดทำแบบสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานและวิธีที่คนรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน
Adecco Thailand สรุปผลสำรวจล่าสุดจากคนทำงานทั่วโลกกว่า 34,200 คน ใน 25 ประเทศทั่วโลก อายุ 18-60 ปี ที่รวบรวมไว้ใน White paper : Global Workforce of the Future 2022 ดังนี้
1 ใน 4 ของพนักงานเตรียมลาออกในอีก 1 ปี ข้างหน้า
พบว่า 27% ของผู้ตอบแบบสำรวจบอกว่าพวกเขาจะลาออกจากงานปัจจุบันภายใน 12 เดือนข้างหน้า และ 45% ของคนเหล่านี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการสมัครงานและสัมภาษณ์งานใหม่แล้ว ส่วน 55% ที่เหลือก็กำลังมองหาโอกาสใหม่ๆ และในกลุ่มที่บอกว่าจะลาออกนี้ มี 17% ที่เคยได้รับการติดต่อจาก recruiter เพื่อชวนไปร่วมงานใหม่
ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าเทรนด์การลาออกครั้งใหญ่ ยังไม่จบในเร็ววัน และได้ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลามากกว่า 2 ปีแล้ว
จีนเป็นประเทศเดียวในผลสำรวจที่มีตัวเลขต่างจากค่าเฉลี่ย ในขณะที่ทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยการลาออกอยู่ที่ 27% มีคนทำงานในประเทศจีนเพียง 14% เท่านั้นที่บอกว่าจะลาออกในอีก 1 ปีข้างหน้า ญี่ปุ่นก็เป็นอีกหนึ่งประเทศในฝั่งเอเชียที่มีเปอร์เซ็นต์ลาออกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั่นคือ 23%
ส่วนประเทศที่มีแนวโน้มจะลาออกมากที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ออสเตรเลีย 33% สวิตเซอร์แลนด์ 32% กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ 31%
จับตา Quitfluencer “อินฟลูเอนเซอร์”ด้านการลาออก
ไม่ต้องเป็นคนดังก็สามารถเป็น Influencer ในที่ทำงานได้ เพียงแค่ตัดสินใจลาออกจากบริษัท เพราะผลสำรวจพบว่าความรู้สึกอยากลาออก เป็นสิ่งที่ส่งต่อสู่เพื่อนร่วมงานได้ หรือเรียกว่า Quitfluencer โดยพบว่า 70% ของคนที่เห็นผู้อื่นลาออกจะย้อนกลับมาพิจารณาว่าตัวเองควรลาออกดีหรือไม่ และท้ายที่สุด 50% ของคนเหล่านี้จะตัดสินใจลาออกภายใน 12 เดือนหลังจากนั้น
พบว่าคน Gen Z เป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อ Quitfluencer มากที่สุด โดยคน Gen Z หากเห็นผู้อื่นลาออกก็มีโอกาสที่ตัวเองจะลาออกมากขึ้น 2.5 เท่าเมื่อเทียบกับ Baby Boomers ซึ่งตรงกับรายงานของ LinkedIn’s Workforce Confidence Index ที่พบว่า Gen Z เปลี่ยนงานมากขึ้น 134% เมื่อเทียบกับปี 2019 ในขณะที่ Baby Boomers เปลี่ยนงานน้อยลง 4%
Quiet Quitting หมดใจกับงานแต่ยังไม่ลาออก
ในขณะเดียวกัน คนที่ยังไม่ตัดสินใจลาออกในช่วงนี้ หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้อยู่ในสถานะรักงานเต็มร้อย แต่อยู่ในสถานะ Quiet quitting หรือการลาออกแบบเงียบ ๆ เป็นนิยามของคนที่หมดใจกับงานแล้วแต่ยังไม่ลาออก เพราะไม่อยากเสี่ยงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
Quiet quitting เป็นเทรนด์ที่เกิดจากปัญหาของความเบลอของเส้นแบ่งระหว่างเวลางานและเวลาส่วนตัวในช่วงโควิด-19 ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนทำงานไม่เป็นเวลาจนรู้สึกหมดไฟ หลายคนจึงใช้ Quiet quitting เป็นวิธีแก้ปัญหา เพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าจนเกินไป
พฤติกรรมของกลุ่ม Quiet quitting คือ พยายามทำงานเท่าที่จำเป็นในหน้าที่ของตัวเอง และไม่อาสาทำงานอื่นนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมายหรือนอกเวลางาน
Quiet quitting สามารถเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนงานได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบริษัท หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหานี้ คือหัวหน้าต้องพูดคุยกับลูกน้องในทีม เปิดพื้นที่รับฟังปัญหาอย่างจริงใจเพื่อให้รู้ว่าลูกน้องต้องการอะไร เพราะหากปิดหูปิดตาและยังคงมอบหมายงานแบบไม่สนใจ หรือไม่รับฟังปัญหาของลูกน้อง ก็อาจถูกเรียกได้ว่าเป็น “quiet firing” หรือการบีบให้ลูกน้องรู้สึกไม่ดี และลาออกไปเอง
ตรงกับผลสำรวจล่าสุดที่ว่า คนทำงานเชื่อว่าการจะมีชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นได้นั้น ขึ้นอยู่กับฝั่งนายจ้างมากกว่าตัวเองเสียอีก
คนทำงานเกินครึ่งมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้ในเร็ววัน
6 ใน 10 ของผู้ทำแบบสำรวจบอกว่าพวกเขามั่นใจว่าจะสามารถหางานใหม่ได้ภายใน 6 เดือนหรือเร็วกว่านั้น แม้ว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงที่ไม่แน่นอน และ 5 ใน 10 เชื่อว่าพวกเขามีอำนาจในการเลือกงานตามที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะ Gen Y และ Gen Z
คนรุ่นใหม่มีแนวคิดว่า Candidate as a consumer หรือ candidate ก็เป็นเหมือน consumer หรือผู้บริโภคหรือลูกค้า ที่มีสิทธิ์เลือกงาน และเป็นหน้าที่ของบริษัทที่ต้องพยายามดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้
ส่วนประเทศที่ผู้ตอบแบบสอบถามมีความมั่นใจว่าจะหางานใหม่ได้ภายใน 6 เดือนน้อยที่สุด 3 อันดับ ได้แก่ ญี่ปุ่น อิตาลี และฝรั่งเศส มีจำนวนคนมั่นใจอยู่ที่ 37% 46% และ 53% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่ดีหนึ่งอย่างคือ ในปีนี้ 72% ของคนทำงานทั่วโลกบอกว่ารู้สึกมีความมั่นคงและไม่ค่อยกังวลว่าจะตกงาน ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 61%
Work Life Balance อันดับหนึ่งนิยามความสำเร็จ
เมื่อถามถึงนิยามความสำเร็จในชีวิตการทำงาน คนเกือบ 40% บอกว่าการมี work life balance คือตัวแปรที่บอกว่าชีวิตการทำงานประสบความสำเร็จ อันดับ 2 คือ มีความสุขกับการทำงานในทุก ๆ วัน 32% รองลงมาคือ มีงานที่มั่นคง 30% มีงานที่มีความยืดหยุ่น 30% และได้ทำงานที่ตรงกับ passion 29%
สิ่งที่น่าสนใจคือ การมีรายได้สูง ไม่ได้ติดอยู่ใน 5 อันดับแรกของนิยามความสำเร็จในการทำงาน นั่นหมายความว่าในขณะที่รายได้เป็นเรื่องสำคัญ แต่การที่บริษัทเน้นให้เงินเดือนสูงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอจะทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกว่าประสบความสำเร็จในการทำงาน ดังนั้นบริษัทจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับ wellbeing ควบคู่ไปด้วย
เงินเดือนคือเครื่องมือดึงคนใหม่แต่ไม่ช่วยรั้งคนเก่า
ผลสำรวจพบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ “เงินเดือน” เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับดึงดูดพนักงานใหม่ ในทางตรงข้าม การขึ้นเงินเดือนอย่างเดียวไม่เป็นผลต่อการรักษาพนักงานเก่า
โดยความต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้นคือเหตุผลอันดับ 1 ที่ทำให้คนตัดสินใจย้ายงาน ทั้งพนักงานออฟฟิศและอาชีพอื่น ๆ ต่างเลือกให้เงินเดือนเป็นปัจจัยสำคัญอันดับ 1 ร่วมกัน ส่วนอันดับรองลงมาคือ ต้องการมี work life balance ที่ดีขึ้น ต้องการความก้าวหน้าในทักษะและสายงาน ต้องการบริษัทที่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน และต้องการทดลองสิ่งใหม่ ๆ ตามลำดับ
ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้คนทำงานเลือกจะอยู่บริษัทเดิมต่อไปใน 12 เดือนข้างหน้า อันดับ 1 ได้แก่ การมีความสุขกับงาน รองลงมาคือ งานมีความมั่นคง มี work life balance มีความสุขกับเพื่อนร่วมทีม และชอบความยืดหยุ่นในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม 44% ของคนที่ยังอยากอยู่ที่เดิม ก็มาพร้อมกับเงื่อนไขว่า พวกเขาต้องการความก้าวหน้าภายในบริษัทและต้องการ upskill เพื่อให้พร้อมกับตำแหน่งงานใหม่ในอนาคตอีกด้วย
สังเกตได้ว่าความพึงพอใจเรื่องเงินเดือนไม่ได้อยู่ในเหตุผลอันดับต้น ๆ เลยด้วยซ้ำ โดยอยู่ในอันดับที่ 6 เพราะฉะนั้นหากบริษัทต้องการเก็บรักษาพนักงานที่เป็นทาเลนท์ นอกจากเรื่องเงินเดือนแล้ว สิ่งที่จะต้องพิจารณาให้ความสำคัญก็คือ รูปแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการคนในปัจจุบัน มีการวางแนวการพัฒนาพนักงานให้มีการเติบโตในสายงาน และดูแลเรื่อง wellbeing ของพนักงานควบคู่ไปด้วย