มีการเปิดเผยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งจาก Bain Consultancy เกี่ยวกับสินค้าลักชัวรี่ที่พบว่าในปีนี้มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าทะลุ 353,000 ล้านเหรียญยูโร (ประมาณ 13,143,502 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ทำไปได้ 290,000 ล้านเหรียญยูโร (ประมาณ 10,792,361 ล้านบาท) พร้อมเผยกลุ่มลูกค้ารายใหม่ราว 20% ที่ยังเป็นวัยรุ่น – 25 ปีเท่านั้น
สำหรับสินค้าในกลุ่มนี้ตามการศึกษาของ Bain Consultancy ร่วมกับสมาคม Altagamma ซึ่งเป็นสมาคมผู้ผลิตระดับไฮเอนด์ของอิตาลี มีตั้งแต่เครื่องหนัง เครื่องประดับ รองเท้า อัญมนี และนาฬิกา โดยผู้สำรวจพบว่า ยอดขายของสินค้าได้กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดโควิดแล้ว
อย่างไรก็ดี หากมองในแง่ของผู้ซื้อ กลับพบว่าเป็นกลุ่มผู้ซื้อรายใหม่ นั่นคือกลุ่มคนที่มีอายุน้อยเข้ามาจับจ่ายมากขึ้น โดยครึ่งหนึ่งของผู้ซื้อเป็นคนที่มีอายุระหว่าง 25 – 40 ปี ตามมาด้วยกลุ่มวัยรุ่น – 25 ปีที่มีสัดส่วนราว 20% เลยทีเดียว
คาดตลาดสินค้าลักชัวรี่ทะลุ 5.5 แสนล้านยูโร
Bain Consultancy คาดการณ์ว่า เทรนด์การช้อปสินค้าลักชัวรี่นี้จะเติบโตต่อไป โดยอาจมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 550,000 – 570,000 ล้านเหรียญยูโรได้ในอีก 5 ปีข้างหน้าเลยทีเดียว
ส่วนเศรษฐกิจโลกในปีหน้าที่มีประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรออยู่จนทำให้หลายคนเป็นกังวลว่าจะกระทบกับตลาดสินค้าลักชัวรี่หรือไม่นั้น Claudia D’Arpizio หนึ่งในทีมวิจัยของ Bain Consultancy เผยว่า ตลาดสินค้าลักชัวรี่ในรอบนี้มีโอกาสรอดสูงกว่าตอนที่เกิด Hamburger Crisis ในช่วงปี 2008 – 2009 เนื่องจากพบความแตกต่างกันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้าของแบรนด์ลักชัวรี่ที่มีจำนวนมากกว่ายุควิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ อีกทั้งแบรนด์กับลูกค้าก็มีความสัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่น ทั้งบนโซเชียลมีเดียและหน้าร้าน โดยตลาดที่มีกำลังซื้อสูงสุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายสินค้าลักชัวรี่ในสหรัฐอเมริกาจะแตะ 113,000 ล้านยูโรในปีนี้ ส่วนในยุโรปคาดว่าจะอยู่ที่ 94,000 ล้านยูโร
ขณะที่ตลาดจีน เกาหลีใต้ และเม็กซิโกนั้น ทาง Bain Consultancy มองว่า ยังมีการเติบโต แต่ยอดขายส่วนหนึ่งในจีนได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ เพราะมีการปิดหน้าร้าน จึงอาจมองว่าเป็นการเติบโตที่น้อยกว่าปีก่อนหน้านั่นเอง
Bain Consultancy ยังกล่าวถึงปัญหาสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนด้วยว่า ไม่มีผลกระทบกับตลาดสินค้าลักชัวรี่แต่อย่างใด เนื่องจากรัสเซียมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าวเพียง 2% เท่านั้น