กว่า 89 ปี ของ “บุญรอดบริวเวอรี่” หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามของอาณาจักรสิงห์ ผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารรายใหญ่ของเมืองไทย เริ่มจากธุรกิจครอบครัว สู่การบริหารงานแบบมืออาชีพ จวบจนวันนี้สิงห์สร้างความแข็งแกร่งในตลาด จนมาถึงเจนเนอเรชั่นที่ 4 กับการเปลี่ยนครั้งสำคัญหลัง “คุณเต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” บุตรชายคนโตของ “คุณสันติ ภิรมย์ภักดี” ก้าวขึ้นรับตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ ซีอีโอคนใหม่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กับบทบาทใหม่ที่น่าสนใจและถูกจับตามองเป็นอย่างมาก
BrandBuffet เปิดมุมคิดที่น่าสนใจ กับตัวตนของผู้ชายที่ชื่อ “เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี ภายในงานเสวนาประจำปี 2565 และครบรอบปีที่ 10 กับหัวข้อ UNLOCK THE FUTURE : The 10 Phenomenon Years ปรากฏการณ์เขย่าโลกธุรกิจสู่โอกาสและความท้าทายใหม่ ผ่านมุมมอง 10 นักธุรกิจและผู้บริหารแถวหน้าของเมืองไทย
ผ่าวิสัยทัศน์ที่ไม่เพียงแต่มุมคิดของการบริหารงานของ CEO หนุ่ม หากแต่ยังรวมถึงการปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ในการปั้นอาณาจักรสิงห์ยุคใหม่มากกว่าอาหารและเครื่องดื่ม ที่ต้องหลากหลายในทุกมิติ ท่ามกลางความท้าทายกับภารกิจใหม่ที่ใหญ่ขึ้นนับจากนี้
แม้จะคลุกคลีในธุรกิจครอบครัวมานานนับ 20 ปี แต่เส้นทางการทำงานและความชอบที่หลากหลาย ของ “เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” ทั้งในฐานะนักธุรกิจ นักการตลาดและโฆษณา หรือแม้กระทั่งนักร้อง นักแข่งรถ ทำให้ “คุณเต้” คือ CEO หนุ่มยุคใหม่ ที่เลือกจะเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็น เปิดโอกาสให้ทุกๆคนได้มีส่วนร่วมในการทำงาน พร้อมทั้งได้เลือกหยิบยกเอาข้อดีต่างๆ มาเป็นหัวใจสำคัญในการเข้าถึงวิธีคิด และบริหารงาน
จนนำไปสู่แนวคิดการทำงานที่ต้อง “ฟัง” และไม่ใช่ฟังใครแค่คนเดียว หากแต่ครอบคลุม “บุคลากร-ทีมงาน” เพื่อให้เกิดความเข้าใจ ความคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง จนนำไปสู่ความสำเร็จของ “องค์กรยุคใหม่” ให้เป็นมากกว่าการทำงาน แต่คือ “ความสุข” ของทุกๆคนและกลายเป็นองค์กรในฝันให้ได้
จาก Gen 4 สู่บทบาทใหม่ CEO ผู้กุมทัพใหญ่สิงห์
“เต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี” เริ่มต้นฉายภาพการนำทัพใหญ่สิงห์ภายใต้วิชั่นใหม่ในฐานะซีอีโอ นับจากนี้ แน่นอนว่าย่อมมีความท้าทายมากขึ้นในแง่การบริหารจัดการ จากอดีตที่ดูแลในส่วนของเทรดดิ้ง อย่างเดียว ซึ่งดูแลด้านการตลาดและการขาย แต่หลังจากขึ้นมาเป็นกรุ๊ป ซีอีโอนั้น รูปแบบการทำงานก็ค่อนข้างเปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นการเปิดรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่ายจึงเป็นสิ่งที่จะทำให้เราเข้าใจ และเห็นภาพใหญ่ในหลากหลายมุมมองได้ “ชัดขึ้น”
“ผมฟังมากกว่าพูด ‘ฟัง’ ทำให้ผมเรียนรู้และเข้าใจ”
“คุณเต้” บอกว่า “ผมฟังมากกว่าพูด ผมเรียนรู้จากการฟัง” ต้องฟังให้มาก เรียนรู้จากการฟังแล้วนำไปคิดต่อ เพราะการฟัง ทำให้เราเข้าใจเพื่อนร่วมทีม เข้าใจคนอื่น พร้อมทั้งนำไปต่อยอดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ “ต้องเป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะเรียนรู้” เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน การคิด เปิดรับรู้สิ่งใหม่ จึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการวางแผนระยะยาวจึงใช้ไม่ได้ ต้องมีการวางแผนทุกอาทิตย์ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และต้องมีแพชชั่นในการทำงานให้มาก สิ่งสำคัญคือต้องสนุกกับการทำงาน ไม่เครียด
นอกจากนี้การจะสร้างการเติบโตให้บริษัทต้องเริ่มจากสิ่งที่เราถนัดและทำได้ดี คือ “อย่าไปทำอะไรที่ไม่เก่ง และไม่ถนัด” แต่ให้เริ่มจากทำในสิ่งที่ถนัดและขยายต่อยอดออกไป เพราะหากเริ่มจากความถนัดแล้ว ก็จะทำให้ได้เปรียบในสิ่งที่รู้ลึกต่อยอดได้มากกว่า การเริ่มจากสิ่งที่ถนัดก็เปรียบเหมือนการเริ่มจากต้นน้ำของตัวเอง
“ความเชื่อ-ความสุข-รอยยิ้ม” จากจุดเริ่มต้นของสิงห์ สู่ Passion การทำงาน
อย่างไรก็ดีแม้ปัจจุบันภาพของธุรกิจและการแข่งขันจะเปลี่ยนไป แต่จุดยืนขององค์กรที่เชื่อว่า “เราเกิดมาเพื่อสร้างความสุขให้ผู้คนและเราอยากจะเห็นรอยยิ้มของคน” นั่นคือสิ่งที่ยึดมั่น และนำไปสู่การผสาน Vision+Passion ในการทำงาน
“ทำงานมันต้องสนุก ต้องมีความสุข ทำด้วย passion ไม่ใช่ทำเพราะเป็นหน้าที่”
“การทำงานทุกๆวัน ผมมีความสุขและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เลือกที่จะหยิบยกแต่พลังงานด้านบวกเข้าหาตัว เพราะเชื่อว่าโลกเรามีพลังงานด้านลบเยอะมากพออยู่แล้ว เราเอาแต่สิ่งที่เป็น Positive เข้าหาตัวเองให้ได้มากที่สุด พร้อมส่งต่อให้คนอื่น และมองสิ่งที่ดีในวันข้างหน้าต่อไป เพราะมองว่านั่นคือก้าวใหม่แห่งโอกาส”
ไม่เพียงเท่านี้หากแต่ในฐานะที่เป็นหัวเรือใหญ่ของสิงห์ การสร้างการมีส่วนร่วมของ “คน” ให้เข้ากับ “งาน” คืออีกหนึ่งคีย์ในการบริหารและทำงานของเจ้าตัว ด้วยแนวคิดที่ว่า การนำบุคลากรทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมกับโปรเจ็คให้เห็นภาพเดียวกัน จะทำให้ภาพการทำงานในองค์กรไหลลื่นขึ้น
“องค์กรจะโตได้ ทุกคนต้องเห็นภาพเดียวกัน รู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรต่อเป้าหมายนั้น
และทำงานร่วมกันเป็นทีม”
และนั่นคืออีกหนึ่งมุมคิดของ “คุณเต้” ที่เชื่อว่า การสร้างคนให้มีส่วนร่วมในการทำงาน จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีของการทำงานชิ้นนั้นๆ ทำให้เจ้าตัวเลือกเปิดกว้างในการทำงานให้แก่บุคลากร ให้มีอิสระในการคิด การทำงาน เพื่อพัฒนาคนและทีมงานควบคู่กันไป ทำให้สิงห์ยุคใหม่กลายเป็นองค์กรที่มีความสุขในทุกมิติ
เพราะโลกไม่หยุดหมุน “การเรียนรู้ พัฒนาตัวเอง” จึงสำคัญต่อองค์กร
อีกฟากในมุมของการเปลี่ยนแปลง สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ องค์กรยังต้องเปลี่ยนทุกวันตามโลกธุรกิจที่หมุนไป แต่จะทำอย่างไรถึงจะเปลี่ยนแปลงบนแกนธุรกิจที่มีไปพร้อมๆกับต้องพยายามพัฒนาตัวเองทุกวัน กับความเชื่อของเจ้าตัวที่ว่า “เราทำดีกว่านี้ได้” นั่นทำให้ “คุณเต้” ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ไปพร้อมๆกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่ไม่หยุดแค่ความสำเร็จของเมื่อวาน
“ผมไม่เคยคิดว่าผมเก่งและประสบความสำเร็จ ผมคิดว่าจะดีกว่านี้ได้ยังไง”
การทำธุรกิจนับจากนี้ กลยุทธ์การ Collaboration เป็นอีกแนวทางที่นำเข้ามาใช้ในการทำงานด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนมีจุดแข็ง การทำร่วมกันดีกว่าการทำงานเพียงคนเดียว ดังนั้นก็กลับมาที่ความเชื่อมั่นในการทำงานเป็นทีม
โลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เราจำเป็นต้องเปิดกว้าง ยอมรับ เพื่อให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น อย่างด้านบุคลากร ทุกคนมีจุดแข็ง มีความเก่งแตกต่างกันไป และมีส่วนในความสำเร็จทั้งนั้น ถ้าเราเข้าใจและยอมรับสิ่งเหล่านี้ จะทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆชัดเจนขึ้น ทั้งความต้องการของตลาด ความต้องการของผู้บริโภค และตลาดโลกในอนาคต ที่สำคัญคือการมองเห็นอินไซต์ความสุขของผู้คนที่แบรนด์จะช่วยเติมเต็มให้ผู้บริโภคได้ ซึ่งบางอย่างสิ่งเหล่านั้นอาจไม่ได้เกิดจากความเก่งของเราอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญของเรา กับความเก่ง ความรู้ความสามารถของผู้อื่น เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เดินไปข้างหน้าด้วยกัน
โจทย์การบริหารองค์กรจากนี้ไป เพื่อตอกย้ำภาพสิงห์ มุ่งสร้างการเติบโตบนโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงสูงในอนาคตข้างหน้า คือการบริหารจัดการ ประเมินศักยภาพของบริษัท หาแนวทางที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น ที่สำคัญไม่ว่าจะเผชิญโควิดหรือไม่มีโควิด คนในองค์กรสิงห์ต้องมองและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ต้องพัฒนาตัวเองและทีมงานตลอดเวลาทั้งการ Upskill และ Reskill อยู่เสมอ
ท้ายที่สุด “คุณเต้” บอกว่า ไม่เคยคิดว่าวันนี้ผมดีหรือว่าเก่งแล้ว ผมพร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนา ปรับปรุงตัวเองและทีมงานให้ดีขึ้น เก่งขึ้นให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ไม่หยุดไขว่คว้าหาโอกาสในทุกที่ ทั้งหมดเพื่อปั้นอาณาจักรสิงห์สู่ยุคใหม่ที่หลากหลาย ก้าวสู่องค์กรแห่งความสุข ที่เติบโตอย่างยั่งยืน