เส้นทางกว่า 130 ปีของ “อังกฤษตรางู” แบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมานานกับภาพลักษณ์ “แป้งเย็น” ที่ทุกคนต้องบอกว่าไม่มีใครเหมือน ที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์จนยากจะลบภาพจำในใจผู้บริโภค ทว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของของไลฟ์สไตล์การใช้วิตของคนรุ่นใหม่ สภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้ “อังกฤษตรางู” จึงไม่สามารถอยู่กับความสำเร็จแบบเดิมๆได้ ทำให้ทางค่ายต้องกลับมาทรานส์ฟอร์มตัวเองครั้งใหญ่
ภายใต้การนำทัพของทายาทผู้บริหารรุ่นที่ 4 “คุณอนุรุธ ว่องวานิช” ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์บุกตลาดเอเชีย พร้อมสร้างแบรนด์ “SNAKE” ผ่านนวัตกรรม พร้อมรับการก้าวสู่ยุคดิจิทัล โดย 3-5 ปีนับจากนี้ “SNAKE BRAND” จะต้องผงาดโกลบอลแบรนด์ให้ได้
“ผมมีแผนที่ในห้องเสมอ เมื่อมองแล้วก็วางเป้าหมายว่า “อังกฤษตรางู” อยากเป็นโกลบอลแบรนด์ ดังนั้นการปรับตัวสู่ตลาดโลกคือเป้าหมายนับจากนี้ และ 3-5 ปีข้างหน้าเราจะต้องมียอดขายจากต่างประเทศ 30%” คุณอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู ทายาทเจน 4 เผยถึงทิศทางของอังกฤษตรางูยุคใหม่กับฝันที่วางไว้ในการทำงาน
เป้าหมายการทะยานโกลบอลแบรนด์ของอังกฤษตรางู ไม่ใช่แค่การสั่งสมประสบการณ์ที่ยาวนานต่อของทางแบรนด์ แต่คือการพัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่กลุ่มแฟนพันธุ์แท้เพียงอย่างเดียว
เพิ่ม DNA แบรนด์ ผ่านจุดแข็ง “ความเย็น” ต่อยอดสู่ภาพใหม่ “สินค้าจากสมุนไพร” ผงาดโกลบอลแบรนด์
เป็นที่รู้กันดีว่า “อังกฤษตรางู” มีภาพจำและจุดแข็งของแบรนด์เรื่องความเย็นที่อยากจะสลัดภาพจำ ทำให้ในจุดแข็งยังมีความอ่อนแออยู่ ซึ่งในอนาคตคีย์หลักของแบรนด์คือ จะเดินหน้าเปิดรับสิ่งใหม่พร้อมพัฒนาสินค้ามากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จะยังเก็บรักษา DNA แบรนด์ตรางู อย่างความเย็นไว้เป็นหัวใจสำคัญ สู่การเป็นสินค้าสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นก้าวใหม่ของตรางู และนั่นคือสิ่งที่ทางค่ายโฟกัสที่จะทำเพื่อก้าวสู่ความเป็นโกลบอลแบรนด์นับจากนี้
ล่าสุดเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสกินแคร์ บอดี้โลชั่น โดยมีแนวทางสำคัญ คือ ปรับปรุงแบรนด์ และการออกสินค้าใหม่ หนึ่งในนั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสารสกัดจากกัญชง กับผลิตภัณฑ์ใหม่ “สเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค และสเนคแบรนด์ เฮอร์บาซูติค ซีบีดี มอยส์เจอไรซิ่ง แอนด์ โพรเทคชั่น ยูวี ไบรท์เทนนิ่ง บอดี้เซรั่ม” ออกมาทำตลาดในประเทศ ก่อนและช่วงเดือนเม.ย.ที่จะถึงนี้ก็จะมีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาเพิ่มอีก โดยจะเป็นกลุ่มสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ซึ่งเป็นก้าวใหม่ในการทำตลาดของบริษัท
ทั้งนี้เพื่อเจาะกลุ่ม Gen X และ Baby Boomer ที่ยังเป็นฐานลูกค้าหลักที่บริษัทโฟกัสอยู่ ควบคู่กับการทำสื่อโซเชี่ยลมีเดีย ประชาสัมพันธ์ TVC ออกมาเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยทำงาน ให้คนรู้จักภาพใหม่อังกฤษตรางูมากขึ้น
ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่จะมีการเปรียบเทียบข้อดี จุดเด่น ด้อยของสินค้าที่มีความหลากหลายให้มากที่สุด และต้องยอมรับว่าปัจจุบันตลาดแป้งเติบโตในอัตราที่ช้าลง ต่อให้มีผู้เล่นรายใหม่ๆ ก็ยังไม่หวือหวามากนัก ทำให้ทางแบรนด์ถอดบทเรียนจากแบรนด์ “จอห์นสัน” เข้ามาเป็นหนึ่งเคสที่ยกมาศึกษา และต่อยอดการทำตลาดของแบรนด์ เพราะมีทั้งยุคที่รุ่งเรือง และยุคเปลี่ยนผ่าน
นอกจากนี้อังกฤษตรางู ยังมีกลุ่มลูกค้าแฟนพันธุ์แท้ ที่ชื่นชอบแป้งเย็นตรางูอย่างเหนียวแน่น อยู่ราว 35-40% ของยอดขาย ที่ไม่ต้องตัดสินใจเลย เดินไปซื้อและสามารถหยิบสินค้าของแบรนด์ได้ทันที โดยมีแพ็คเกจจิ้ง “กระป๋องเหล็ก” ซึ่ง Heritage ของแบรนด์เป็นตัวนำในการจับกลุ่มลูกเค้าเหล่านี้
“เราขายได้เฉลี่ย 20 ล้านกระป๋องต่อปี มีลูกค้า 10-20 ล้านคนใช้สินค้าต่อปี การนำข้อมูลระบบดิจิทัลต่างๆมาใช้ ถือว่าเป็นผลดีกับเราทั้งในแง่การรักษาฐานแฟนดั้งเดิม และขยายฐานใหม่”
ตั้ง Global Team ลุยศึกษาตลาดต่างประเทศ เปิดโอกาสเอเยนต์ทำตลาด
ด้านการขยายตลาดต่างประเทศ “อังกฤษตรางู” เป็นที่รู้กันดีกว่า “ตรางูกับคนจีน เป็นของคู่กัน ชื่นชอบมานาน” ตั้งแต่ยุค “เหมา เจ๋อตง” ที่สมัยนั้นจีนยังไม่เจริญมากนัก โดยเฉพาะในแถบโซนร้อน ดังนั้นสินค้าเพื่อความเย็นจากประเทศไทยหลายอย่างจึงได้รับความนิยม ตั้งแต่ซัวเถา กวางโจว ฯลฯ ที่กลุ่มคนจีนในไทยที่นำไปฝากญาติพี่น้อง เพื่อบรรเทาอากาศร้อนในขณะนั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ “อังกฤษตรางู” ในตลาดจีน และต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นการสร้างแบรนด์ได้เป็นอย่างดี จนปัจจุบันบริษัทมีเอเยนต์ที่ประเทศจีน เพื่อวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และสร้างโอกาสเติบโตได้มหาศาล
สเต็ปถัดไปของแบรนด์ในตลาดต่างประเทศนับจากนี้ คือการมองหาโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการขยายไปยัง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินเดีย และจีนอย่างจริงจังมากขึ้น โดยมีตัวแทนจำหน่ายแล้วในขณะนี้ คาดว่าภายใน 3-5 ปีจะสามารถเห็นผลที่ชัดเจนขึ้น จากเดิมเน้นจีนเป็นหลักเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบันอังกฤษตรางูวางจำหน่ายใน 20 ประเทศทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบเอเชีย คิดเป็นสัดส่วนยอดขาย 15% และวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการเติบโตแบบดับเบิ้ลที่ 30% ใน 3-5 ปี นับจากนี้ เพราะมองว่าโอกาสของอังกฤษตรางูในตลาดโลกยังสูงมาก ซึ่งวันนี้แม้แบรนด์จะได้พบเอเยนต์ที่ดีในแต่ละประเทศแล้ว ยังต้องมีการทำงาน ศึกษารูปแบบตลาดร่วมกันอีกมาก เพื่อทำการตลาดให้เหมาะสม และลดต้นทุนการทำงานในต่างประเทศให้ได้มากที่สุด
เพราะเมื่อไรที่ “อังกฤษตรางู” สามารถทำรายได้ในต่างประเทศระดับ 30% ตามที่หวังไว้ ความมั่นคงของแบรนด์ในตลาดโลกก็จะมีมากขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดในประเทศลงไป โดยการจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบไปด้วย
- ขยายพอร์ตสินค้าใหม่ๆ ลดการพึ่งพาสินค้าหลักเพียงอย่างเดียว เช่น การรับจ้างผลิต แตกไลน์สินค้าใหม่ๆตามยุคสมัย
- ขยายการทำตลาดในกลุ่มประเทศที่หลากหลาย ลดการพึ่งพากลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงอย่างเดียว
- ขยายกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว ที่ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวจีน และในแถบเอเชียที่มาจากประเทศร้อนและคุ้นเคยกับแบรนด์เท่านั้น หากแต่คือการขยายไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วโลก
- ขยายตลาดอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโต ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับแบรนด์ให้เหมาะสมกับยุคสมัย เชื่อมโยงแบรนด์กับแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งของบริษัทเอง และการร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบหลังบ้าน เช่น ซอฟท์แวร์ที่เป็นประโยชน์มาใช้สรุปข้อมูลต่างๆ ในการทำงาน โดยปัจจุบันอังกฤษตรางูมีสัดส่วนยอดขายจากออนไลน์แล้วกว่า 10%
ดังนั้นการนำอินโนเวชั่น และเทคโนโลยีใหม่เข้ามาผสมผสานการพัฒนาสินค้า คือโจทย์หลักของตรางูที่ต้องการขยายออกไป ไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรมสมุยไพรต่างๆ สเปรย์ความเย็น ฯลฯ ทำให้ในปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอสินค้าของตรางูครอบคลุมกว่า 6 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่
- Personal Care เป็นพอร์ตสินค้าที่ใหญ่ที่สุด 50-60% ประกอบด้วย แป้ง, ครีบอาบน้ำ, สเปรย์ให้ความเย็น, สบู่ เป็นต้น
- Skin Care ที่เร่ิมเข้าไปทำตลาดตั้งแต่ 10 ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ทำตลาดอย่างเป็นทางการมากนัก เนื่องจากยังเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงอยู่
- Health Care ที่เริ่มรุกตลาดมากขึ้น และสามารถสร้างการเติบโตได้ดีในช่วงโควิดที่ผ่านมา ได้แก่ อาหารเสริม ยาที่ขายเข้าโรงพยาบาล เช่น วิตามิน ฮอร์โมนต่างๆ ยาสามัญต่างๆ ทั้งยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัด ยาแก้ปวด หน้ากากอนามัย N95 และกลุ่มสินค้าสมุนไพร เป็นต้น
- ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสินค้าเพอร์เซอร์นัลแคร์หลายแบรนด์
- ธุรกิจเทรดดิ้ง (Trading) ธุรกิจที่ซื้อมา-ขายไป
- ธุรกิจส่งออก (Export) ที่ปัจจุบันขยายการทำตลาดไปแล้วกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ที่มีการจัดตั้งโกลบอลทีมขึ้นมา เพื่อขยายการส่งออกให้แก่บริษัท ที่จะทำการศึกษาพฤติกรรม สภาพตลาดของแต่ละประเทศอย่างลึกซึ้ง
โดยมั่นใจว่าในช่วง 1-3 ปีนี้ ยอดขายรวมจะมีโอกาสแตะที่ 2,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมารายได้รวมอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นไทย 75-80% และต่างประเทศ 15-20% ขณะที่ในสิ้นปีนี้น่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 1,700 ล้านบาท
อ่านเพิ่มเติม
เปิดตำนาน “แป้งเย็นตรางู” ชื่อนี้ได้ยินแล้วต้องหนาว!