หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ปี 2565 เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยว มีต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง 11 ล้านคน ปีนี้คาดว่าอาจจะถึง 30 ล้านคน หลังจีนเปิดประเทศ นับเป็นปัจจัยบวกให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคัก “แสนสิริ” จึงประกาศแผนธุรกิจ ปี 2566 ด้วยสร้างสถิติ All-Time High
ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ 52 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 75,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 74% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเกิดโควิด 1,000% หรือ 10 เท่าตัว แบ่งเป็นแนวราบ 30 โครงการ สัดส่วน 68% และคอนโดมิเนียม 22 โครงการ สัดส่วน 32%
วางเป้าหมายยอดขายปีนี้ 55,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% แบ่งเป็น แนวราบ มูลค่า 33,000 ล้านบาท สัดส่วน 60% และคอนโด มูลค่า 22,000 ล้านบาท สัดส่วน 40%
ตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 40,000 ล้านบาท และเป้าหมาย “กำไร” สูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเกือบ 40 ปี
คุณเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปี 2565 ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 50% และยอดโอน 36,800 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า
“ปีก่อนทำตัวเลขนิวไฮแล้ว ปี 2566 แสนสิริยังคงทุบสถิติใหม่ ทั้งจำนวนโครงการ ยอดพรีเซล เป้าหมายรายได้และกำไรสุทธิ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ All-Time High ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในรอบเกือบ 40 ปี”
5 กลยุทธ์ “แสนสิริ” บุกอสังหาฯ ปี 66
คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ (SIRI) กล่าวว่าแผนธุรกิจในปี 2566 วางไว้ 5 กลยุทธ์หลักๆ เพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมาย All-Time High ทั้ง ยอดขาย รายได้ และกำไร
1. เปิดตัวโครงการใหม่ทุกเซกเมนต์ 52 โครงการ
ปี 2566 วางแผนเปิดตัว 52 โครงการใหม่ ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม – บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคาตั้งแต่คอนโด 9 แสนบาท ไปถึงบ้านหรู 100 ล้านบาท และในทุกทำเล
– แนวราบ เปิดตัว 30 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท โครงการไฮไลต์กลุ่มซูเปอร์ลักชัวรี แบรนด์ “นาราสิริ” พหล – วัชรพล มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท, แบรนด์ “บูก้าน” เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนท์ รวม 3 โครงการ บน 3 ทำเล คือ กรุงเทพกรีฑา, พัฒนาการ และ พระราม 9 – เหมงจ๋าย มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท
บ้านเดี่ยวลักชัวรี แบรนด์ “เศรษฐสิริ” ราคา 12 – 25 ล้านบาท ที่เจาะกลุ่มลูกค้าอายุน้อยลง กับ 4 ดีไซน์ใหม่ โครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” สไตล์ Georgian แบรนด์ “สราญสิริ” ราคา 6-12 ล้านบาท ดีไซน์ใหม่ซีรีส์ Modern Farmhouse ปีนี้เปิดตัวรวม 4 โครงการใหม่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และแบรนด์ “อณาสิริ” ราคา 2-6 ล้านบาท 9 โครงการใหม่ กับ 2 ดีไซน์ Japanese และ Mediterranean
– คอนโดมิเนียม เปิดตัว 22 โครงการใหม่ มูลค่า 24,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151% จากปีก่อน โครงการไฮไลต์กลุ่มลักชัวรี ทำเลใจกลางเมืองอย่าง “อารีย์และราชเทวี”
การรีเฟรชแบรนด์ “ดีคอนโด” ซึ่งเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของแสนสิริในกลุ่มคอนโดราคาเข้าถึงง่าย (affordable) เน้นเรื่อง Well-Being กับซีรีส์ใหม่ 5 โครงการ 5 ทำเลทั่วประเทศรวมมูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท เริ่ม 2 โครงการแรก “หาดใหญ่-ภูเก็ต” รับเรียลดีมานด์และตลาดท่องเที่ยวฟื้น “ดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต” ราคาเริ่ม 1.59 ล้านบาท และ “ดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่” ราคาเริ่ม 1.79 ล้านบาท ส่วนอีก 3 ทำเล คือ รังสิต, ศรีราชา และลาดกระบัง
– สำหรับที่ดินแปลงงามบนถนนสารสิน ขนาด 1 ไร่ ที่ซื้อมาราคาสูงถึง 3.9 ล้านบาทต่อตารางวา ยังอยู่ระหว่างพัฒนาแบบอีก 2 ปี ปัจจุบันราคาในทำเลดังกล่าวเริ่มที่ 7 แสนบาทต่อตารางเมตร ดังนั้นราคาที่แสนสิริจะเปิดตัวจะไม่ต่ำกว่า 8 แสนบาทต่อตารางเมตร
– ปีนี้ แสนสิริ ใช้งบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินเพิ่มสำหรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทุกรูปแบบ
2. ขยาย Brand Portfolio 9 แบรนด์ใหม่เจาะรายทำเล
อีกกลยุทธ์สำคัญคือ การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละกลุ่มสินค้าครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคา ปีนี้วางแผนเปิด 9 แบรนด์ใหม่
– Luxury Collection ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ)
– พรีเมียม ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร)
– คอนโดมิเนียม ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส)
การเปิดแบรนด์ใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโด เพื่อสร้าง One of a kind Project หรือแบรนด์ใหม่ที่มีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ บนโลเคชั่นเดียว เช่น Cabanas Huahin นอกจากนี้ยังมีอีก 2 แบรนด์คอนโดไลฟ์สไตล์ในย่านสุขุมวิท และอีก 1 แบรนด์ที่จะทยอยเปิดตัวตลอดปีนี้
3. เจาะกำลังซื้อตลาดต่างจังหวัด
ปีนี้แสนสิริ เตรียมรุกตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่องใน 6 จังหวัด ได้แก่ หัวหิน, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ทั้งแนวราบและคอนโด เพื่อรองรับกำลังซื้อฟื้นตัวหลังโควิด
4. โกยยอดขายลูกค้าต่างประเทศปีนี้ 12,000 ล้าน
“แสนสิริ” ถือเป็นเบอร์หนึ่งแบรนด์อสังหาฯ ไทยในกลุ่มลูกค้าตลาดต่างชาติ จากการทำตลาดมากว่า 10 ปี กลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ เน้นเจาะตลาดในกลุ่ม CLMV เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้นจากเดิม นอกจาก จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย เป็นฐานลูกค้าหลักอยู่แล้ว โดยจีน เป็นอันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 75%
ปีนี้วางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติกว่า 12,000 ล้านบาท เพิ่มการเติบโต 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท
5. เดินหน้าขยายโมเดล “คอมมูนิตี้” 8 โซน
อีกกลยุทธ์สำคัญในปีนี้กับโมเดล New Sansiri Communities ต่อยอดความสำเร็จจากการปั้น “ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์” ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ โดยเริ่มจากโครงการ T77 สุขุมวิท 77 (อ่อนนุช) บนพื้นที่กว่า 50 ไร่ มีโครงการคอนโดของแสนสิริ 5 โครงการทั้งแบรนด์ The Base, HAUS และ mori HAUS รวมทั้งทาวน์เฮาส์ Garden Square ศูนย์การค้า Habito (ฮาบิโตะ)
คุณอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ กล่าวว่าแสนสิริวางแผนขยายโมเดลคอมมูนิตี้อีก 8 ทำเล ปีที่ผ่านมาเริ่มไปแล้วกับโซน กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ พื้นที่ 500 ไร่ ใช้พื้นที่ไปแล้ว 400 ไร่ เหลืออีก 100 ไร่ ถือเป็น “ขุมทอง” ในการพัฒนาโครงการของแสนสิริ
โดยทำเลที่เตรียมพัฒนาในปี 2566 คือ บางนา – เลค 26, รังสิต -บางพูน, กรุงเทพฯ – ปทุมธานี, ราชพฤกษ์ – 346, พระราม 2 – วงแหวน, ประชาอุทิศ 90 และ เวสต์เกต แต่ละทำเลพื้นที่ 100-200 ไร่
การพัฒนาโครงการด้วยโมเดลคอมมูนิตี้ เป็นการสร้างเมืองที่สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ ได้หลากหลายแบรนด์และหลายโครงการได้พร้อมกัน โดยค่อยๆ พัฒนาที่ดินที่ละแปลงตามการเติบโตของแต่ละโซนที่เข้าไปพัฒนา ส่วนใหญ่จะซื้อที่ดินแปลงใหญ่เก็บไว้ เมื่อเริ่มพัฒนาโครงการราคาก็จะเพิ่มขึ้น แต่ละทำเลจะดึงพันธมิตร อย่าง โรงเรียน ร้านค้า เข้าไปเปิดให้บริการลูกบ้านในคอมมูนิตี้ด้วย
อ่านเพิ่มเติม