ดิสนีย์ (Disney) มีแผนเลย์ออฟพนักงาน 7,000 ตำแหน่ง โดยทางบริษัทบอกแต่เพียงว่า การเลย์ออฟจะเกิดขึ้นทั่วทุกแผนกของบริษัท ไม่ได้เจาะจงว่าจะเป็นธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ขณะที่สื่อตะวันตกหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่า อาจมาจากธุรกิจสตรีมมิ่งถึงคราวอัสดงแล้วก็เป็นได้
ซีอีโอที่ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องนี้คือ Bob Iger ที่บอกว่า บริษัทกำลังเจอความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจโลก และต้องประหยัดค่าใช้จ่ายให้ได้ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ ซึ่งการเลย์ออฟคือหนทางหนึ่งที่จะเกิดขึ้น โดยก่อนหน้านี้ Bob Iger เคยส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเลย์ออฟไปแล้วครั้งหนึ่งตั้งแต่ตอนที่เขากลับมารับตำแหน่งซีอีโอคืนจาก Bob Chapek เมื่อเดือนพฤศจิกายน และในที่สุด แนวคิดดังกล่าวก็เกิดขึ้นจริง
เมื่อหันมองตัวเลขรายได้ของ Disney ในไตรมาสที่ผ่านมา พบว่า ธุรกิจสตรีมมิ่ง ซึ่งอยู่ในแผนก direct-to-consumer นั้น แม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 13% เป็น 5,300 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ผลประกอบการโดยรวมกลับพบว่า ขาดทุนมากถึง 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยต้นทุนที่สูงมากมาจากบริการอย่าง Disney Plus และ Hulu นั่นเอง
Disney ให้เหตุผลถึงตัวเลขขาดทุนของ Disney Plus ว่า มาจากค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ที่สูงมาก และค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่บริษัทต้องแบกรับนั่นเอง
นอกจากนั้น ในแง่ของจำนวน Subscribers ของ Disney Plus ก็เติบโตลดลงด้วย โดย Disney Plus สามารถเพิ่มจำนวน Subscribers ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาได้เพียง 200,000 รายเท่านั้น ส่วนในตลาดโลกพบว่า บริษัทมี Subscribers เพิ่มขึ้นเพียง 1.2 ล้านคน
ด้านซีอีโอ Disney ยังคาดการณ์ด้วยว่า บริการอย่าง Disney Plus กว่าจะสามารถเริ่มทำกำไรได้ อาจเป็นช่วงปลายปี 2024 เลยทีเดียว
อาจกล่าวได้ว่า Disney คือบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริการายล่าสุดที่ต้องออกมาประกาศเลย์ออฟพนักงาน โดยก่อนหน้านี้ มี Amazon ที่เลย์ออฟพนักงานไปแล้ว 18,000 คน Google 12,000 คน Microsoft 10,000 คน และยังมี Meta, Twitter, Snap, Pinterest ฯลฯ โดยอาจจะมีเพียง Apple เท่านั้นที่ยังไม่มีมาตรการดังกล่าวประกาศออกมาให้เราได้ทราบกัน
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand