การกลับมาของ “นักท่องเที่ยว” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเป็นที่จับตาของหลายธุรกิจ โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีการพึ่งพิงรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอันดับต้น ๆ ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจว่า พวกเขาเดินทางอย่างไร เข้าถึงสถานที่ – อาหาร หรือวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นอย่างไร อาจเป็นข้อมูลที่น่าสนใจไม่แพ้กัน
มีการเปิดเผยข้อมูลนี้ในมุมของ Grab โดยคุณรัสเซล โคเฮน (Russell Cohen) กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายปฏิบัติการ แกร็บ (ระดับภูมิภาค) เผยว่า
- ในปี 2022 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมายังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้นถึง 1,706% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (อ้างอิงจาก ASEAN Tourism Forum 2023)
- ในเดือนธันวาคม 2022 นักท่องเที่ยวมีการเรียกใช้งานรถจากแอปพลิเคชัน Grab เพื่อใช้เดินทางไป – ออกจากสนามบิน เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2022
- ข้อมูลของ Grab ในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ที่ผ่านมา ยังพบด้วยว่า 43% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ใช้ Grab ในประเทศไทย มาจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- นอกเหนือจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้แล้ว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางโดย Grab ยังมาจากประเทศในแถบอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย จีน และเกาหลีใต้
เปิดตัว 5 ฟีเจอร์ใหม่รับการท่องเที่ยว
เมื่อมีการเดินทางเพิ่มขึ้น การปรับตัวของแอปพลิเคชันจึงเกิดตามมา โดย Grab เผยว่าได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยวดังนี้
การจ่ายเงินด้วยสกุลเงินของแต่ละประเทศ
เช่น นักท่องเที่ยวไทยที่ไปท่องเที่ยวในสิงคโปร์และเรียกรถจาก Grab ก็จะเห็นยอดค่าใช้จ่ายเป็นสกุลเงินบาท และตัดเงินด้วยสกุลเงินบาทเลยทันที ซึ่งทางผู้บริหาร Grab มองว่า ฟีเจอร์แปลงสกุลเงินนี้จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับนักเดินทางที่สามารถมองเห็นค่าใช้บริการต่าง ๆ ในสกุลเงินของตัวเอง โดยฟีเจอร์นี้คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2023 เป็นต้นไป
เปิดตัว Traveller Homepage
ผู้บริหาร Grab ระบุว่า 2 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวที่ใช้ Grab ได้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน และลงทะเบียนบัญชีล่วงหน้าตั้งแต่ยังไม่ได้ออกจากประเทศต้นทาง การพัฒนา Traveller Homepage จึงเป็นการเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวสำรวจสถานที่ที่น่าสนใจล่วงหน้า รวมถึงโรงแรม ร้านอาหารในบริเวณใกล้เคียง
บริการแปลภาษา
ฟีเจอร์นี้คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งปีหลังของ 2023 โดยรองรับใน 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย และเวียดนาม ที่นักท่องเที่ยวสามารถแปลงข้อมูลในแอปพลิเคชันเป็นภาษาอังกฤษได้ โดย Grab มองว่า จะช่วยให้นักท่องเที่ยวมีความเข้าใจสถานที่ท้องถิ่นนั้น ๆ มากขึ้น (เช่น รีวิวร้านอาหาร)
นอกจากนั้นยังได้พัฒนาแอปพลิเคชันในเวอร์ชันภาษาจีน เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อรองรับการใช้งานของนักท่องเที่ยวจากประเทศดังกล่าว ซึ่งถือเป็นกลุ่มหลักที่นิยมเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
เรียกรถ Grab ผ่านแพลตฟอร์มอื่น
เป็นการจับมือกับแพลตฟอร์มที่มีการใช้งานสูงในภูมิภาคเอเชีย เช่น WeChat, AliPay, Ctrip, Kakao T และ Booking.com ให้สามารถใช้บริการเรียกรถของ Grab ได้จากแอปที่ตนเองคุ้นเคย โดยสามารถเลือกจุดรับและจุดส่ง ดูประเภทรถได้ พร้อมคิดค่าโดยสารเป็นสกุลเงินของประเทศนั้น ๆ และยังสามารถเลือกชำระเงินด้วยวิธีที่ต้องการผ่านแอปดังกล่าวได้โดยตรง
ส่วนถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้บริการ Uber มาก่อน หากมีการเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีการส่งต่อไปยัง Grab ให้โดยอัตโนมัติด้วย (เริ่มใช้งานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้)
อัปเดทฟีเจอร์ Venues ระบุจุดนัดพบแบบละเอียด
สำหรับการอัปเดทฟีเจอร์ Venues มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยว ในกรณีที่ยังไม่คุ้นเคยกับประเทศที่ตนเองเดินทางไป และหาจุดนัดพบไม่เจอ โดยนักท่องเที่ยวจะเห็นจุดรับผู้โดยสารภายในอาคารหรือสถานที่ต่าง ๆ และสามารถเลือกจุดรับผู้โดยสารที่ต้องการได้ รวมถึงสามารถดูเส้นทางการเดินไปยังจุดนัดพบนั้น ๆ ได้แบบละเอียด แม้ว่าจะยังไม่ได้เรียกใช้บริการก็ตาม
ปัจจุบัน ฟีเจอร์ดังกล่าวรองรับสนามบินหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสามารถใช้กับสถานที่กว่า 4,000 แห่งในภูมิภาคได้ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน สวนสาธารณะ ฯลฯ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างสวนสัตว์สิงคโปร์ ตลาดน้ำในพัทยา และอนุสรณ์สถานแห่งชาติในกรุงจาการ์ตา ด้วย
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของ e-Conomy SEA 2022 ระบุว่า ธุรกิจขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอีก 20% ภายในปี 2025 โดยคาดว่าจะมีมูลค่า GMV แตะ 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเดิมในปี 2022 อยู่ที่ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อินไซต์และแนวคิดในการพัฒนาแอปพลิเคชันของ Grab เพื่อให้ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจึงอาจเป็นไอเดียให้อีกหลายธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันก็เป็นได้