กลุ่มสามารถ เตรียมดัน SAV หรือ บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) บริษัทที่ได้รับสัมปทานด้านการให้บริการวิทยุการบินแบบครบวงจรในประเทศกัมพูชา เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปีนี้
ทำความรู้จัก SAV
ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ. 1999 กลุ่มสามารถ (SAMART) เริ่มต้นทำธุรกิจในประเทศกัมพูชาเป็นครั้งแรก โดยเป็นการทำธุรกิจเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่จะรุกเข้าสู่ธุรกิจด้านการบิน เมื่อกัมพูชามีนโยบาย Open Sky Policy เมื่อปี 2000 และสามารถเซ็นสัญญาครั้งแรกเมื่อปี 2001 ด้วยสัมปทานอายุ 15 ปี และต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง ในที่สุดก็ครอบคลุมระยะเวลานานถึง 49 ปี โดยถ้านับถึงปัจจุบันนี้ก็ยังเหลือระยะเวลาอีก 29 ปี พร้อมแนวทางที่ยังต่อสัมปทานได้อีก ถ้าหากว่าทาง SAV แสดงศักยภาพในเรื่องการของลงทุนที่มีความสำคัญ
สำหรับแหล่งรายได้ของ SAV มีอยู่ 3 ทาง ประกอบด้วย
1.รายได้จากค่าบริการสำหรับเที่ยวบินที่บินขึ้น-ลงในประเทศ (Landing &Take-off : Domestic)
2.เที่ยวบินที่บินขึ้น-ลงระหว่างประเทศ (Landing & Take-off: International)
3.รายได้จากค่าบริการสำหรับเที่ยวบินที่บินผ่านเขตน่านฟ้ากัมพูชา (Overflight) เพียงแค่เครื่องบินบินผ่านน่านฟ้าของกัมพูชา ทาง SAV ก็มีรายได้จากการบริหารจัดการจราจร นั่นทำให้เมื่อประเทศเพื่อนบ้านของกัมพูชาอย่างเวียดนามมีการท่องเที่ยวและการลงทุนที่ขยายตัว ก็ทำให้ SAV ได้อานิสงส์ไปด้วย โดยรายได้ที่เกิดขึ้นจากช่องทางนี้ทาง SAV ต้องแบ่งให้กับรัฐ 30%
โดยปัจจุบัน “SAV” มีสนามบินในกัมพูชา 6 แห่ง ได้แก่ สนามบินนานาชาติพนมเปญ สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ สนามบินนานาชาติสีหนุ สนามบินพระตะบอง สนามบินเกาะกง และสนามบินสตึงเตรง
คุณธีระชัย พงศ์พนางาม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทสามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SAV เปิดเผยว่า “ในปี 2565 SAV มีรายได้รวม เท่ากับ 1,220 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรายได้รวม 761 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 199.5 ล้านบาท โดยหลังจากผ่านพ้นวิกฤติโควิด 19 และมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เศรษฐกิจการท่องเที่ยวทั้งในประเทศกัมพูชาและประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ซึ่ง SAV จะมีผลการดำเนินงานที่กลับมาฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจุดเด่นหลักของ SAV คือ 1.เป็นผู้ให้บริการด้านวิทยุการบินอย่างครบวงจร เพียงรายเดียวในกัมพูชา 2.มีรายได้ประจำทั้งจากทุกเที่ยวบินที่ขึ้น-ลงในประเทศกัมพูชา 3.มีรายได้ประจำจากทุกเที่ยวบินที่บินผ่านน่านฟ้ากัมพูชา 4.SAV มีระยะเวลาสัมปทานอีก 29 ปี และมีโอกาสต่ออายุสัมปทานได้อีก 5.ธุรกิจวิทยุการบิน ให้ผลตอบแทนสูง ไม่มีคู่แข่ง 6.การขยายตัวทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกัมพูชาและอาเซียนมีแนวโน้มเติบโตสูง”
พร้อมทั้งกล่าวถึงแผนการกัมพูชาเพิ่มเติมอีกว่า “อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการบินกัมพูชา กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีการลงทุนสร้างสนามบินนานาชาติใหม่ 3 แห่ง เพื่อรองรับจำนวนนักเดินทางที่คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ 1.สนามบินนานาชาติพนมเปญแห่งใหม่ ในเฟสแรกสามารถรองรับนักเดินทางได้ถึง 10 ล้านคน 2. สนามบินนานาชาติเสียมเรียบแห่งใหม่ สามารถรองรับนักเดินทางได้ถึง 8 ล้านคน ในเฟสแรก และมีแผนขยายให้สามารถรองรับนักเดินทางได้ถึง 20 ล้านคน ในอนาคต 3.สนามบินนานาชาติดาราสาคร (เกาะกง) ซึ่งเป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ที่จะรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของกัมพูชาในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการปลายปีนี้”
ศักยภาพ “กัมพูชา”
มีบริษัทวิจัยนานาชาติคาดว่าในปี 2567 จำนวนนักเดินทางเข้าออกกัมพูชาจะเพิ่มมากกว่าก่อนโควิด และจำนวนเที่ยวบินในกัมพูชาจะเพิ่มเป็น 134,000 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจาก 100,000 เที่ยวบินที่คาดการณ์ในปี 2566 เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยว และนักธุรกิจ โดยเฉพาะจากประเทศจีนซึ่งน่าจะกลับมาอย่างชัดเจนในต้นปีหน้า โดยล่าสุดจำนวนเที่ยวบินจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คุณธีระชัยยังเล่าประสบการณ์เพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจถึงการเติบโตของกัมพูชาอย่างเห็นภาพว่า ตอนที่มาทำงานที่กัมพูชาในระยะแรก ตึกสูงมีเพียงโรงแรมอินเตอร์คอนฯ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่สูงราว 10 ชั้น แต่ในตอนนี้อาคารสูงมากกว่า 100 เมตร มีมากกว่า 80 แห่ง และตอนนี้ตึกที่สุงที่สุดประมาณ 250 เมตรแล้ว และกำลังมีการขออนุมัติสร้างตึกสูง 648 เมตร เทียบเท่า Shanghai Tower อยู่
ในส่วนของ GDP กัมพูชา ก็ทะลุ 1 ล้านล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยและคาดว่าจะเติบโต 5.2% เท่ากับปีที่ผ่านมา ด้านอัตราการว่างงานอยู่ที่ 0.4% ส่วนอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5.3% ภาคการท่องเที่ยว โรงแรม และร้านอาหาร จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตที่ร้อยละ 32.7 จากการเพิ่มขึ้นของการเดินทางทั้งภายในภูมิภาคและระหว่างประเทศ
บทวิเคราะห์จากธนาคารกรุงศรี* ระบุว่า กัมพูชามีต้นทุนการผลิตต่ำ จึงได้เปรียบในการแข่งขันสำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานมาก และด้วยแรงสนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) จึงมีแนวโน้มว่านักลงทุนระดับโลกเริ่มเปลี่ยนฐานการผลิตจากพม่ามาสู่กัมพูชา เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของพม่านั่นเอง สวนทางกับกัมพูชาที่มีเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก และมีนโยบายที่เป็นมิตรกับการลงทุนมาโดยตลอด ยิ่งทำให้กัมพูชาเนื้อหอมและเป็นจุดหมายปลายทางการลงทุน
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือปัจจัยภายในที่เกื้อหนุน มาจากประชากรศาสตร์ของกัมพูชาที่มีกำลังซื้อจากประชากรในวัยทำงานเพิ่มจำนวนมากขึ้น และยังมีฐานะดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในทศวรรษที่ผ่านมาเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ทำให้ประชากรกัมพูชามีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันชนชั้นกลางสัดส่วน 20% ของประชากรทั้งหมดนั้นมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ ขยายตัวหลังวิกฤตโควิด-19
ทั้งหมดนี้ทำให้กลุ่มสามารถมั่นใจในการดำเนินงานของ SAV พร้อมส่งเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ภายในปีนี้ อย่างไรก็ตามยังคงติดตามสภาพความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม และกลายเป็นหุ้นวิทยุการบินหนึ่งเดียวในตลาดหุ้นไทย
อ้างอิง : https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/cambodia-investment