BrandBuffet นำเสนอข่าวในต่างประเทศ ที่ระบุว่า มีการใช้พลังแสงอาทิตย์มาเป็นส่วนหนึ่งในการให้บริการในระบบขนส่งมวลชนมาอย่างสม่ำเสมอ และในวันนี้ (29 สิงหาคม 2566) ในที่สุดประเทศไทย ก็เริ่มต้นโครงการที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มาพัฒนาระบบขนส่งรางอย่างเป็นรูปธรรมแล้วเช่นกัน โดยโปรเจ็คนี้เป็นความร่วมมือกันของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของอาเซียน กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BEM หรือที่ผู้บริโภคเรียกอย่างแพร่หลายว่ารถไฟฟ้าใต้ดิน ได้ลงนามในข้อตกลงที่จะนำไปสู่การใช้กระแสไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นพลังงานสะอาด มาใช้ในการเดินรถขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าระบบรางครั้งแรกในประเทศไทย
โดยข้อตกลงดังกล่าวเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างสองบริษัทในการนำองค์ความรู้และทรัพย์สินเพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการเดินรถไฟฟ้าสายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง) ซึ่งมีระยะทางกว่า 71 กิโลเมตร ให้บริการขนส่งมวลชน 54 สถานีทั่วกรุงเทพฯ
ครั้งแรกในไทย พลังงานแสงอาทิตย์ในระบบราง
คุณธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เป็นครั้งแรกที่นำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในการขับเคลื่อนระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทางรางของประเทศไทยในขอบเขตการทำงานขนาดใหญ่ เรารู้สึกภูมิใจที่เป็นรายแรกในประเทศไทยที่บุกเบิกนำไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน การร่วมมือกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีการใช้งานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น”
“สัญญาความร่วมมือนี้มีระยะเวลา 25 ปี โดยจะมีการผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนระบบรถไฟใต้ดินในปริมาณมหาศาลถึง 452 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง หรือคิดเป็น 12% ของไฟฟ้าที่ประเมินว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินกับสายสีม่วงต้องใช้รวมกันทั้งหมด” คุณธนวัฒน์กล่าว
ทางด้าน ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทมุ่งมั่นสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านการใช้พลังงานของไทยไปสู่พลังงานสะอาดและมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยเราบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 ความร่วมมือกับซีเค พาวเวอร์ ในครั้งนี้ จะทำให้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ และยังช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าให้กับเราอีกด้วย”
ดร.สมบัติกล่าวว่า ภายใต้ข้อตกลงนี้ พื้นที่ที่จะใช้รับพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้ามีทั้งหมด 6 จุด ครอบคลุมพื้นที่กว่า 106,000 ตารางเมตร อาทิ หลังคาของศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าอาคารที่จอดรถ และอาคารสำนักงานของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง”
เริ่มใช้งานจริง กุมภาพันธ์ 2568 และพร้อมขยายการใช้งานต่อ
ดร.สมบัติ ยังแสดงความตั้งใจที่จะใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์อย่างต่อเนื่อง โดยแสดงความเห็นว่า “โครงการนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่สำคัญ ซึ่งทั้งสององค์กรกำลังศึกษาแผนงานในการก่อสร้างและต่อยอดจากความร่วมมือประวัติศาสตร์นี้ เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนการนำพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนมาใช้กับระบบขนส่งที่กำลังเติบโตขยายตัว และมีความต้องการด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
คุณธนวัฒน์กล่าวว่า “ซีเค พาวเวอร์คือผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค ด้วยองค์ความรู้เฉพาะทางที่ครบวงจร เราพร้อมนำความเชี่ยวชาญ ในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตลอดจนดูแลเรื่องความพร้อมในการจ่ายไฟและการบำรุงรักษาหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร โดยคาดว่างานออกแบบจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2567 และจะเริ่มงานก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ปีเดียวกัน”
โดยจะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในเดือนสิงหาคม 2567 ให้กับรถไฟฟ้าทั้งสายสีน้ำเงินและสายสีม่วง และจะทยอยส่งมอบจนเต็มระบบในเดือนกุมภาพันธ์ 2568
คุณธนวัฒน์กล่าวเสริมว่า “ความร่วมมือนี้ มีศักยภาพที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมที่ใช้พลังงานจากแหล่งหมุนเวียน” หากโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนอื่นๆ จะหันมาดำเนินกลยุทธ์ในลักษณะเดียวกัน ดังเช่นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเยอรมัน ที่เป็นผู้ใช้พลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมนี
CKP คือใคร
บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำของอาเซียน และเป็นผู้บุกเบิกการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาค มีองค์ความรู้เฉพาะทางที่กว้างขวาง มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบด้านวิศวกรรม ติดตั้งและก่อสร้างระบบไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อย่างครบวงจร
ซีเค พาวเวอร์มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อยู่ทั้งหมด 9 แห่ง โดยมีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บางเขนชัย ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา เป็นโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ในปี 2565ที่ผ่านมา CKP ผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้แก่ประเทศไทยทั้งสิ้น 9,767 กิกะวัตต์ชั่วโมง หรือประมาณ 4.5% ของไฟฟ้าที่ใช้ภายในประเทศทั้งหมด ส่งผลให้ก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศลดลงได้ราว 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
สำหรับความสำคัญของพลังงานสะอาด ทางองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (The International Energy Agency: IEA) ประเมินว่าภายในปี 2569 กว่า 95% ของการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าทั่วโลกจะเป็นการผลิตโดยใช้พลังงานหมุนเวียน โดยกว่าครึ่งหนึ่งจะเป็นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งนี้พลังงานจากแสงอาทิตย์ คือแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกที่สุดของโลก เป็นที่คาดการณ์ว่าในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้านี้ ความต้องการพลังงานในกลุ่มประเทศอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยจากการวิเคราะห์พบว่าภาคการขนส่งจะเป็นผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน และสูงกว่าภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ภูมิประเทศของเมืองไทยที่ตั้งอยู่ในแถบเขตเส้นศูนย์สูตร และมีแสงแดดตลอดทั้งปี มีพลังงานแสงอาทิตย์เป็นทรัพยากรหมุนเวียนที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะแหล่งพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า และต้นทุนของการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ในประเทศไทยยังได้เปรียบอีกด้วย
คุณธนวัฒน์ กล่าวปิดท้าย ว่า “ความร่วมมือของ CKP กับ BEM ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะ 3 ปี ที่ทางซีเค พาวเวอร์ตั้งเป้าไว้เมื่อต้นปี 2565 ที่จะขยายขนาดธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัวภายในปี 2567 พร้อมกับเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจาก 2,000 เมกะวัตต์เป็น 4,800 เมกะวัตต์ โดยกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดจะมาจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ พลังแสงอาทิตย์ พลังลม และพลังน้ำ โดยปัจจุบัน ซีเค พาวเวอร์ คือบริษัทที่มีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 93% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ของประเทศไทย”