ตลอดเส้นทาง 42 ปี ของ “เซ็นทรัลพัฒนา” เบอร์หนึ่งธุรกิจศูนย์การค้า ได้มองหาโอกาสขยายสู่ธุรกิจใหม่ๆ ต่อเนื่อง ปัจจุบันมี 4 ธุรกิจหลัก คือ รีเทล อาคารสำนักงาน โรงแรม และที่อยู่อาศัย โดยมุ่งพัฒนาให้ทุกส่วนเชื่อมโยงกันแบบ Seamless Synergy ที่ถือเป็นจุดแข็งในการพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบมิกซ์ยูส
แม้ธุรกิจที่อยู่อาศัยของเซ็นทรัลพัฒนา เพิ่งเริ่มได้ 8 ปี หรือในปี 2559 แต่เป็นกลุ่มที่มีโอกาสเติบโตได้สูงจากการ Synergy กับธุรกิจค้าปลีกที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยภายใน 3 ปีนี้ หรือในปี 2569 ตั้งเป้าหมายรายได้ 10,000 ล้านบาท ขยายครอบคลุม 24 จังหวัด
คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) กล่าวว่า Central Pattana Residence (ธุรกิจที่อยู่อาศัย) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเข้าไปลงทุนทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยขยายโครงการที่อยู่อาศัยไปแล้ว 18 จังหวัด ในทำเลที่มีศูนย์การค้าเซ็นทรัลเปิดให้บริการ ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย
“โครงการที่อยู่อาศัยของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ทั้งรีเทล ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง”
3 กลยุทธ์สร้างจุดแข็งธุรกิจที่อยู่อาศัย
คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่าโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์ที่เป็นจุดแข็งธุรกิจที่อยู่อาศัยของเซ็นทรัลพัฒนาสรุปได้ดังนี้
1. ทำเลใกล้ศูนย์การค้า จากการ Synergy กับธุรกิจในเครือเซ็นทรัล ที่พัฒนาโครงการรูปแบบมิกซ์ยูส การลงทุนในแต่ละทำเลจะซื้อที่ดินแปลงใหญ่ ทำทั้งค้าปลีก โรงแรม สำนักงาน โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยจะเข้าไปร่วมซื้อที่ดินตั้งแต่เริ่มต้นพัฒนาโครงการ ทำให้ได้ต้นทุนราคาที่ดินที่ดี เพราะหากศูนย์การค้าเซ็นทรัลเปิดบริการก่อน แล้วไปซื้อที่ดิน จะมีราคาสูงและหาซื้อยาก ดังนั้นหากเป็นคอนโดมิเนียม จะอยู่ติดกับศูนย์การค้าเครือเซ็นทรัล ส่วนบ้าน จะอยู่ในระยะไม่เกิน 10 กิโลเมตร
2. สิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะอยู่ใกล้ศูนย์การค้า หรือโรงแรม ซึ่งเป็นการเข้าถึงกำลังซื้อจริงของลูกค้าทั่วประเทศ เป็นการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย
3. แบรนด์และโปรดักท์ที่อยู่อาศัยครบทุกระดับราคา จากจุดเริ่มต้นในปี 2559 กับการเปิดตัวคอนโดแบรนด์ เอสเซ็นท์ (ESCENT) ปัจจุบันมีแบรนด์และโปรดักท์ทั้งแนวราบและแนวสูง ดังนี้
– เอสเซ็นท์ (ESCENT) คอนโด ราคา 1.5-2.0 ล้านบาท
– ฟีล (PHYLL) คอนโด ราคา 2.5-3.5 ล้านบาท
– นิรติ (NIRATI) บ้านเดี่ยว ราคา 8-12 ล้านบาท
– นินญา (NINYA) บ้านเดี่ยว ราคา 10-20 ล้านบาท
– บ้านนิรดา (BAAN NIRADA) บ้านเดี่ยว ราคา 20-30 ล้านบาท
– นิยาม (NIYHAM) บ้านเดี่ยว ราคา 30-60 ล้านบาท
เปิดแบรนด์ใหม่ ‘บ้านนิรดา’ ขยายพอร์ตลักชัวรี่
ปี 2566 วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ ได้แก่ คอนโด 3 คือ ESCENT เพชรบุรี บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุด ใน 3 ทำเลคือ พระราม 2 (พร้อมขาย วันที่ 7-8 ต.ค. 2566) อุทยาน-อักษะ เอกชัย-วงแหวน
“บ้านนิรดา” เป็นแบรนด์ใหม่ ราคา 20-30 ล้านบาท ที่ตั้งใจปั้นให้เป็นแบรนด์ “เรือธง” สำหรับโครงการแนวราบ เจาะตลาดที่อยู่อาศัยกลุ่มลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ มี High Privacy และ Exclusive Community ออกแบบในสไตล์ Modern European ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกเจนเนอเรชัน มองว่าตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง
กลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัยของเซ็นทรัลพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 2566 มีจำนวน 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ปี 2566 คาดว่าจะปิดยอดขายรวม 6,000 ล้านบาท
อ่านเพิ่มเติม