สเวนเซ่นส์ (Swensen’s) เจ้าแห่งตลาดไอศกรีมเมืองไทย ที่เข้ามาทำตลาดแล้ว 37 ปี มีไอศกรีมวางจำหน่ายมาแล้วกว่า 1,000 รสชาติแล้ว ตลอดช่วงที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้กันดีกว่าจุดแข็งของแบรนด์คือการเป็น Functional Expertise ในแง่ไอศกรีม วันนี้ตลาดไอศกรีมมีการแข่งขันที่รุนแรงบวกกับเทรนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ทำให้แบรนด์ต้องการขยายความเป็นตัวตนด้วยการปรับภาพสู่ความเป็น Emotional Expertise มากขึ้น ผ่านรูปแบบการตลาดที่หลากหลาย
ทำให้ 4 ปีที่ผ่านมา เริ่มทำ Swensen’s Concept Store มาแล้วมากมาย ตั้งแต่ Swensen’s Craft Bar, Sweet By Swensen’s , Swensen’s Cake Carnival และ SIP By Swensen’s เพื่อสร้างประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า พร้อมทั้งทดลองโมเดลใหม่ๆออกสู่ตลาด
ล่าสุดกับปรากฏการณ์ครั้งแรกของโลก และครั้งแรกในประวัติศาสตร์ กับ Swensen’s Ice Cream 101 Flavors Pop-up Project – สเวนเซ่นส์ไอศกรีม 101 รสชาติ “มัน-เยอะ-มากกกกกก” โปรเจกต์ล่าสุดจากสเวนเซ่นส์ ที่ขนเอาไอกศรีมกว่า 100 รสชาติมาวางจำหน่ายในที่เดียว บนโมเดล Pop-up Store ที่เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ เป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือตั้งแต่ 21 พฤศจิกายน 2566 – 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ ชั้น G (ตรงข้าม Gourmet Eats)
เป็นครั้งแรกของ “สเวนเซ่นส์” ที่หันมาทดลองโมเดลด้านการตลาด โดยชูความหลากหลายของรสชาติทั้ง 101 รสชาติ ซึ่งเป็นอีดหนึ่งจุดแข็งของแบรนด์แต่ยังไม่เคยถูกหยิบยกขึ้นทำอย่างจริงจังมาก่อน ในการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย โดยหวังผลเรื่อง Branding เป็นหลัก
เพิ่ม Emotional Branding ที่เชื่อมความรู้สึกด้านรสชาติกับลูกค้ามากขึ้น
คุณอนุพนธ์ นิธิยานันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สเวนเซ่นส์ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว Swensen’s Ice Cream 101 Flavors Pop-up Project ได้รับแรงแรงบันดาลใจหลัก จากการต้องการเน้นขายประสบการณ์แก่ลูกค้า ไม่ใช่แค่ไอศกรีมอันดับ 1 ของไทยและเพิ่ม Emotional Branding ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่ต้องการเชื่อมโยงด้านความรู้สึกทางอารมณ์กับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น โดยครั้งนี้แบรนด์เลือกสื่อสารผ่านด้านรสชาติ
“สเวนเซ่นส์” อยู่มา 37 ปี มีเมนูซันเดย์เป็นสัดส่วนหลักของแบรนด์ที่ Dominated ยอดขายมากกว่า 60% แต่ตั้งแต่โควิดที่ผ่านมามีแบรนด์ที่สร้างตัวเองมากมายในช่องทางออฟไลน์ และมีการสร้าง Pop-up ที่เน้นเรื่องรสชาติ ความหลากหลายรสชาติ ทำให้เราเลือกทำการตลาดด้วยการทำรสชาติในปีนี้ นั่นเพราะว่าเทรนด์ผู้บริโภคกำลังมา ขณะที่สเวนเซ่นส์ก็มีรสชาติที่หลากหลายอยู่แล้วแต่ไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดอย่างจริงจัง ทำให้ในครั้งนี้จึงพัฒนาออกมา เพื่อสร้างความ Unique นวัตกรรม และเน้นความเป็นรสชาติต่างๆให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ส่วนการเลือกปักหมุดในทำเล “เดอะมอลล์ ไลฟ์สไตร์ บางกะปิ” เนื่องจากทำเลดังกล่าวสามารถสร้างยอดขายเป็นอยู่ใน Top 10 ให้แก่แบรนด์สเวนเซ่นส์ ซึ่งถือว่ามีทราฟฟิกจำนวนมาก บวกกับที่มีการรีโนเวตครั้งใหญ่ ก่อนจะหยิบรสชาติที่ได้รับความนิยมไปวางจำหน่ายในร้านและต่อยอดโปรโมชั่นกิจกรรมในปีหน้าตลอดทั้งปี
“การเลือกทำเล เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปินั้น เนื่องจากมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มีความเป็น Mass ประกอบกับที่นี่มี Big Renovation แน่นอนการเปิดตัวแคมเปญพร้อมกับการเปิดเดอะมอลล์ฯโฉมใหม่ในครั้งนี้จะทำให้เกิด Big Bang ด้านแบรนด์ดิ้งทั้งคู่ในแง่ของลูกค้าที่มีการพูดถึง โดยโปรเจกต์นี้จะเน้นเรื่องแบรนด์ดิ้งเป็นหลัก”
อย่างไรก็ตามนอกจากะเป็นการทดลองตลอดแล้ว “คุณอนุพนธ์” ยังบอกอีกว่า ถือเป็นการช่วยกันสร้าง Consumption ในการบริโภคของตลาดไอศกรีมให้เติบโต เพราะไอศกรีมไม่เหมือนกาแฟที่ดื่มได้ทุกวัน จำเป็นต้องสร้างสีสันความแปลกใหม่ ให้ลูกค้ามีความต้องการในการบริโภคมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่ม Occasion ในการรับประทานอีกด้วย
เปิดที่มา ทำไมต้อง 101 รสชาติ และขายแค่ 3 เดือนที่ เดอะมอลล์ บางกะปิเท่านั้น
สำหรับ Pop-up Store แห่งนี้จะเปิดให้บริการ 3 เดือน มีพื้นที่ราว 100 ตร.ม. ตั้งอยู่บริเวณชั้น G กับคอนเซ็ปต์ Ice Cream Labs ภายในมีไอศกรีม 101 รสชาติ ที่จะขายแค่ไอศกรีมอย่างเดียว ไม่มีท็อปปิ้งแบบซันเดย์และพาเฟ่ต์ แต่จะมีการจำหน่ายแบบ 3 ไซส์ ได้แก่ แบบเล็ก 2 สกู๊ป 99 บาท, กลาง 5 สกู๊ป 129 บาท และใหญ่ 10 สกู๊ป 219 บาท
ทั้งนี้การพัฒนาทั้ง 101 รสชาตินั้น ใช้เวลาในการพัฒนา 1 ปี จากรสชาติที่นำมาใช้ในการพัฒนากว่า 300 รสชาติ คัดเหลือเพียง 101 รสชาติ (ปัจจุบันมีรสชาติที่เป็นคอร์อยู่แล้ว 24 รสชาติ) ที่ทางแบรนด์มองว่าเป็นที่นิยมและตอบโตทย์คนไทยมากที่สุด ซึ่งจะมีทั้งรสชาติเดิม รสชาติใหม่ และรสชาติยอดนิยม ส่วนเหตุผลว่า ทำไมถึงต้อง 101 รสชาติในร้าน “คุณอนุพนธ์” บอกว่า “เพราะต้องการเคลมว่า สเวนเซ่นส์มีรสชาติมากที่สุดในโลก ซึ่งจะเป็นการสร้างการจดจำและในแง่ของแบรนด์ดิ้งไปยังลูกค้าได้อย่างดี”
โดยรสชาติที่จะนำขึ้นมาจำหน่ายเฉพาะที่สาขานี้ ประกอบไปด้วยรสชาติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น.. รสชาติแห่งความทรงจำวัยหวานสมัยครั้งยังละอ่อน, รสชาติไอศกรีมพิเศษที่มาเป็นซีซั่น, รสชาติไอศกรีมอันเป็นเอกลักษณ์แห่งผลไม้ไทยที่ปกติมาแค่ปีละครั้ง หรือแม้แต่รสชาติที่คุณคุ้นเคยแต่หายไปนานแสนนาน จนได้รับการเรียกร้องให้นำกลับมาอีกครั้งแบ่งเป็น 7 กลุ่มรสชาติด้วยกัน
- To die for nutty
- Wake me up
- Favorable snack
- Fruity refreshment
- Sweetness’s story
- Fresh from farm
- Authentic Thai
การจำหน่ายในรูปแบบสกู๊ป จะเป็นการทดสอบรสชาติของแต่ละตลาด ก่อนต่อยอดไปยัง 330 สาขาทั่วประเทศ ประสบผลสำเร็จในตลาดที่เป็นแมส “หมดเร็ว หมดก่อน คนพูดถึงเยอะ ก็จะถูกนำมาขายต่อในสาขา” ขณะที่รสชาติไหนขายหมดแล้วจะหมดเลยและไม่มีการผลิตเพิ่มแต่อย่างใด โดยการทดลองทำตลาดรูปแบบดังกล่าวถือเป็นแนวทางที่ทางแบรนด์ถนัดเพราะเป็นการทำ Research เชิง Quality ที่เห็นผลจริงขายจริง ซึ่งดีกว่าการทำโฟกัสกลุ่ม
นอกจากโมเดล Pop-up แล้ว “สเวนเซ่นส์” ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในทำเลต่างๆ ที่ให้ครอบคลุมความต้องการมากที่สุด ภายใต้ความท้าทายของตลาดไอศกรีมเมืองไทยที่ต้องพัฒนาฟังก์ชั่นใหม่ๆ ออกมารองรับความต้องการอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 20 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 330 แห่ง
อ่านเพิ่มเติม
กลยุทธ์ “สเวนเซ่น” แตกไลน์ธุรกิจใหม่ SIP by Swensen’s เมื่อแบรนด์อยากขายมากกว่าไอศกรีม
ผ่าความสำเร็จ “สเวนเซ่นส์” 36 ปี เผยกลยุทธ์สร้างแบรนด์มัดใจคนรักไอศกรีมทุกกลุ่มเป้าหมาย-ทุกมิติ