ว่าด้วยเรื่องเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ หนึ่งในพฤติกรรมที่พบเห็นได้มากขึ้นคือเรื่องของเทรนด์การบริโภคที่นิยมจับจ่ายซื้อสินค้าที่มีความเป็นพรีเมียม หรือ “กล้าจับจ่าย” เพื่อสิ่งที่ต้องการ โดยจะเห็นได้จากตลาดสินค้าอุปโภคและบริโภค (FMCG) มีการเติบโตด้าน “มูลค่า” มากกว่า “ปริมาณ” สะท้อนการจับจ่ายเพื่อประสบการณ์มากกว่า หรือคนจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าคุณภาพและมีราคาแพงมากขึ้นได้เป็นอย่างดี
สอดคล้องกับรายงานวิจัยล่าสุดจากสถาบัน Oxford Economics ประเทศอังกฤษ ที่ออกมาในเดือนนี้ (กุมภาพันธ์ 2567) ที่เผยให้เห็น “เทรนด์พรีเมียม” หรือการยกระดับการบริโภคสินค้าและบริการ (Premiumization)กำลังกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบริการของไทย
เทรนด์นี้สอดคล้องกับเป้าหมายของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในปี 2567 ที่มุ่งเน้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ ให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานและส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เหนือระดับ เน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์ รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่พิเศษไม่เหมือนใคร
เหล่านี้ผลักดันให้กลยุทธ์ Premiumization กลายมาเป็นหนึ่งคีย์สำคัญของแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างสรรค์กิจกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกใหม่ โดยการตลาดยุคใหม่ในหลายแคธิกอรี่ มีคำว่า Luxury Lifestyle ในการซื้อประสบการณ์ที่ดีของผู้บริโภคเพื่อสิ่งที่ดีกว่า หรือจะเรียกง่ายๆว่าการจ่ายเพื่อไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น
Johnnie Walker กับเทรนด์ Premiumization เมื่อประสบการณ์สำคัญกว่างานขาย
คุณจรินี วงศ์กำทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DMHT กล่าวว่า ไม่เว้นแม้กระทั่งอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย หลังในปีที่ผ่านมาตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่ระดับพรีเมียมขึ้นไปมีการเติบโตได้ดี ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคชื่นชอบการดื่มแบบเบาๆ และนานขึ้น ส่งผลให้ Landscape ของการแข่งขันเปลี่ยนไป
จากแนวโน้มข้างต้นทำให้ “ดิอาจิโอ” หรือ บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด (Diageo Moet Hennessy (Thailand)-DMHT) ยักษ์น้ำเมาระดับโลกที่ทำตลาดในไทยมานานเริ่มมีการเดินหน้าการตลาดที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์ Premiumization มากขึ้น โดยเริ่มหันมาชูความเป็นพรีเมียมของแบรนด์มากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อนำเสนอความเป็นพรีเมียมของแบรนด์ที่สร้างสรรประสบการณ์พรีเมียมให้กับผู้บริโภค รองรับเทรนด์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์พรีเมียม ที่แตกต่างกันไป ในแบบฉบับของตนเอง โดยมีการวางยุทธศาสตร์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวผ่าน Johnnie Walker Blue Label ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับกลยุทธ์ Premiumization ของ Johnnie Walker Blue Label ในปีนี้จะมุ่งไปยัง 3 ส่วนหลัก ประกอบด้วย
1.การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ (Quality) และการบอกเล่าเรื่องราวที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์ (Brand Storytelling)
ในการบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ในแบบฉบับที่สามารถสะท้อนตัวตนของแบรนด์เพื่อส่งมอบประสบการณ์ ผ่านก็มีเรื่องราวพิเศษมากมายจากการที่แบรนด์ Johnnie Walker มีประวัติศาสตร์ทั่วโลกมายาวนานกว่า 200 ปี และจะครบ 100 ปีในประเทศไทยปีนี้
2.การไม่หยุดยั้งในการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation) และเดินหน้ามองหาพันธมิตรเพื่อสร้างความร่วมมือครั้งใหม่ (Collaboration)
การปรับตัวพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อมอบประสบการณ์จากผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีการเปิดตัว Johnnie Walker Depth of Blue Room แฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ ชั้น 35 เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือนสิงหาคม 2566 เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ Icon of Luxury สำหรับปี 2567 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แบรนด์ได้ร่วมกับ เจมส์ จีน ศิลปินเชื้อสายเอเชียน-อเมริกันชื่อดัง ต้อนรับการก้าวเข้าสู่ปีนักษัตรมังกร พร้อมส่งมอบความสุข ความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวาตลอดทั้งปี ผ่านผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์ลวดลายมังกรดีไซน์โดดเด่นสุดพิเศษ ส่งต่อความทันสมัยและความปราดเปรียว อันเป็นลักษณะเด่นของสัตว์ประจำปีนักษัตรนี้
3.การสร้างสรรค์ประสบการณ์ (Experience) และปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค (Consumer Connect) ให้มากยิ่งขึ้น
ผ่านนวัตกรรม Johnnie Walker Depth of Blue Room แห่งนี้ โดยสิ่งสำคัญที่สุดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและประสบการณ์ Premiumization แก่ผู้บริโภค เราดำเนินการภายใต้กรอบการให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างรับผิดชอบซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ Johnnie Walker Depth of Blue Room เปิดให้บริการ วันพุธถึงวันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.30 น. – 24.00 น. โดยผู้บริโภคสามารถดื่มด่ำกับประสบการณ์สุดพิเศษผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง ตระการตา โดยกำหนดจำนวนผู้เข้าร่วมสัมผัสประสบการณ์ในส่วนของ Immersive ขั้นต่ำ 4 คน และจำกัดจำนวนสูงสุดที่ 6 คนต่อรอบ
เหล่านี้ทำให้ผลประกอบการของดิอาจิโอ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2024 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2566) โต 5.9% ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ Premiumization ขณะที่ในประเทศไทยวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่าตัวเลขสองหลักเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
อ่านเพิ่มเติม