บมจ. ซีพี ออลล์ หรือ CPALL สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2567 มีรายได้รวม 241,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.5% และมีกำไรสุทธิ 6,319 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.3% เทียบปีก่อน
ไตรมาสแรกปีนี้รายได้เพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าของทุกกลุ่ม ทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค “แม็คโคร” และ “โลตัส” ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งกลยุทธ์ O2O ของแต่ละธุรกิจที่มีแนวโน้มขยายตัวสูง
สัดส่วนรายได้และกำไรของ CPALL ดังนี้
– ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven สัดส่วน 51% กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย สัดส่วน 72%
– ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค (แม็คโคร-โลตัส) สัดส่วน 49% กำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย สัดส่วน 28%
7-Eleven รายได้ “แสนล้าน” กำไรพุ่ง 124%
กลุ่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ไตรมาสแรก ปี 2567 เปิดสาขาใหม่ 185 สาขา ณ สิ้นไตรมาสแรกมีจำนวนร้านทั่วประเทศ 14,730 สาขา แบ่งเป็น
1. ร้านสาขาบริษัท 7,485 สาขา (ประมาณ 51%) ร้านเปิดใหม่ 149 สาขา
2. ร้าน SBP และร้านค้าที่ได้รับสิทธิช่วงอาณาเขต 7,245 สาขา (ประมาณ 49%) ร้านเปิดใหม่ 36 สาขา
โดยร้านสาขาส่วนใหญ่ยังเป็นร้านสแตนด์อะโลน ประมาณ 86% ของสาขาทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นร้านในสถานีบริการน้ำมัน ปตท.
ในไตรมาส 1 ปี 2567 ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการรวม 105,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.9% และมีกำไรสุทธิ 6,181 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 124% เทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
– ยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันจำนวน 82,619 บาท
– ยอดขายเฉลี่ยของร้านสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 4.9% เทียบปีก่อน
– ยอดซื้อต่อบิล 85 บาท
– จำนวนลูกค้าต่อสาขาต่อวันเฉลี่ย 972 คน
ไตรมาสแรกปีนี้ 7-Eleven มีลูกค้าเข้าร้านเพิ่มขึ้นเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้มาตรการของรัฐก็มีส่วนช่วยสนับสนุนเช่นกัน
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ใช้กลยุทธ์ที่สอดรับกับสถานการณ์ตลอดเวลา โดยรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ด้วยการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ พร้อมโปรโมชันเพื่อดึงดูดลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา ประกอบกับรายได้จากการขายสินค้าผ่านกลยุทธ์ O2O เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น 7-Delivery และ All Online กลุ่มนี้มีสัดส่วน 11% ของรายได้การขายสินค้ารวม
รายได้จากการขายในร้าน 7-Eleven ไตรมาสแรกปีนี้ สัดส่วน 75.2% มาจากสินค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภค 24.8% ซึ่งสัดส่วนรายได้ในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่มและกลุ่มสินค้าอุปโภคยู่ในระดับเดียวกันกับปี 2566 โดยเน้นให้ร้าน 7-Eleven เป็นจุดหมายปลายทางที่ 1 ในใจลูกค้าเมื่อนึกถึงอาหารและเครื่องดื่ม ตามสโลแกน “หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา” และ “หิวเมื่อไหร่ก็สั่งเลย” สำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกที่และทุกเวลา
นอกจากนี้ร้าน 7-Eleven ยังมีรายได้อื่นอีกจำนวน 6,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาจากรายได้ให้เช่าพื้นที่ของสาขา รายได้ค่าสิทธิและที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิในการบริหารร้าน 7-Eleven และอื่นๆ
ตามแผนปี 2567 ร้าน 7-Eleven จะพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการขยายเครือข่ายร้านสาขาต่อเนื่องไปตามการขยายตัวของชุมชน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ และแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะลงทุนเปิดร้านสาขาใหม่ในประเทศไทยอีก 700 สาขา และมีเป้าหมายเปิดร้านใหม่เพิ่มในกัมพูชาและลาว โดยปีนี้จะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 12,000 –13,000 ล้านบาท
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE