HomeInsightท้าทายกว่าโควิด แนะ 5 โฟกัส เข็มทิศธุรกิจเอาตัวรอดจากวิกฤติระยะสั้น   

ท้าทายกว่าโควิด แนะ 5 โฟกัส เข็มทิศธุรกิจเอาตัวรอดจากวิกฤติระยะสั้น   

แชร์ :

หากดูสถานการณ์เศรษฐกิจปี 2567 มีมุมมองจากนักธุรกิจและนักการตลาดว่าน่าจะลำบากกว่าช่วงโควิด -19 และจะยาวต่อเนื่องไปถึงปี 2568 ความท้าทายมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ 1. ระยะยาวมาจากการเปลี่ยนผ่านตาม Megatrend ของธุรกิจและการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด และ 2. ระยะสั้นต้องเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical) จากโลกแบ่งขั้วทำให้มีผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

Megatrend เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาตั้งแต่ยุคเก่าที่เน้นภาคการผลิต จนมาถึงยุคปัจจุบันที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาท สิ่งที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 5-10 ปีจากนี้ คือการเข้าสู่ยุคที่มุ่งเน้นปัญญาประดิษฐ์ (AI) เทคโนโลยีสะอาด (Green) หุ่นยนต์  การเปลี่ยนจากภาคการผลิตเป็น Digital Service  ธุรกิจที่จะไปต่อได้จึงต้องมุ่งไปที่การขาย Solution

ในส่วนของช่องทางการตลาด ได้เปลี่ยนจากตลาด Physical มายังช่องทางการตลาดดิจิทัล และในอนาคตจะกลายเป็นตลาดแบบหลอมรวม (Immersive)

ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ให้มุมมองว่าแนวทางขับเคลื่อนธุรกิจไทยในครึ่งปีหลัง 2567  ต้องเอาตัวรอดจากวิกฤติระยะสั้นที่ธุรกิจเจออยู่ในขณะนี้ หลักๆ มาจาก 5 ปัจจัยลบ คือ

1. เศรษฐกิจโตต่ำ : เห็นได้จากตัวเลขจีดีพีไทย เติบโตเฉลี่ย 2% ตลาดใหญ่อย่างจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีการบริโภคมหาศาลจากเดิมจีดีพีโต 10% ก็ลดลงเหลือ 5%  ยุโรปโต 0.6% ญี่ปุ่นโตไม่ถึง 1% ในภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำ  การตลาดเดิมๆ ที่เป็นภาคการผลิต ทำสินค้าอะไรก็ขายได้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

2. AI เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำการตลาดที่นักการตลาดต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น

3. โลกาภิวัฒน์ ต้องทำให้คนตัวเล็ก ธุรกิจ SMEs เข้าถึงเทรนด์เทคโนโลยีและใช้ประโยชน์ได้ดีในเชิงการแข่งขัน

4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น กระบวนการผลิตจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง Green

5. หนี้สินเพิ่มและกำลังซื้อครัวเรือนลดลง การตลาดจึงต้องปรับจากกลุ่มแมส ไปยัง Fragmentation ในกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อ คือ ตลาดบนยังมีกำลังซื้อ ตลาดกลางหดตัว ตลาดล่างยังมีโอกาสสำหรับสินค้าที่ทำต้นทุนได้ต่ำ

นอจากนี้ต้องเข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคยุคนี้ที่ซื้อสินค้าด้วย Emotion เห็นได้จากการเติบโตของกลุ่ม Pet Parent , Art Toy

5 โฟกัสธุรกิจเอาตัวรอดครึ่งปีหลัง

จากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ปีนี้ที่เรียกได้ว่า “ลำบาก” กว่าช่วงโควิดที่ผ่านมา  ทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2567 จึงต้องตั้งสติให้ดี สมาคมการตลาดฯ ได้นำเสนอ  “5 โฟกัสหลัก” เพื่อเป็นเข็มทิศให้นักธุรกิจและนักการตลาดไทยใช้เอาตัวรอด สรุปได้ดังนี้

1. Inspire : ต้องสร้างแรงบันดาลใจและยกระดับเศรษฐกิจธุรกิจไทยด้วยข่าวสารเชิงบวก รวมทั้งให้กำลังใจ ส่งเสริมความร่วมมือและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในวงการธุรกิจ มองหาโอกาสขยายตลาดในต่างประเทศ

2. Promote Green  : ส่งเสริมโครงการสีเขียวที่แท้จริง ผลักดันแนวคิด Sustainability และ Responsible Marketing อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่การฟอกเขียว เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน

3. Leverage AI :  ใช้ปัญญาประดิษฐ์และเทคโนโลยีสร้างโอกาส เพื่อขับเคลื่อนความเท่าเทียม  ส่งเสริมความสามารถของคนตัวเล็ก  และการเข้าถึงที่มากขึ้นสำหรับทุกคน

4. Empower SMEs : สนับสนุน SMEs โดยการจัดหาช่องทางการตลาด (Own Channel ) และสร้างเครื่องมือเพื่อสื่อสาร (Own Content) ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับ SMEs ไทย เพื่อเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนจีดีพีของ SMEs จาก 35% ให้ได้ 50% เพื่อเศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

5. Asia Mastery : มองการณ์ไกลเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าผ่านมุมมองการตลาดที่เน้นเจาะตลาดเอเชีย ซึ่งกำลังเป็นศูนย์กลาง (Hub) ของหลายอุตสาหกรรม มีขนาดเศรษฐกิจเป็น 2 ใน 3 ของจีดีพีโลก นักการตลาดจึงต้องเข้าใจความต้องการของตลาดเอเชียด้วย เพราะการก้าวสู่โกลบอล แบรนด์ ต้องเริ่มสร้างตลาดจากในประเทศ ขยับสู่ เอเชีย ยุโรป อเมริกา

ดังนั้นทางรอดจากวิกฤติระยะสั้น  3 สิ่งที่นักการตลาดต้องทำ คือ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ สร้างความร่วมมือและปรับตัวไปด้วยกัน  2. การตลาดที่โฟกัสกลุ่มประเทศเอเชีย  และ 3. ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหญ่ หรือ SMEs  คัมภีร์อยู่รอด คือ  Change-Innovate-Transform (Change การปรับตัวตลอดเวลา โดยใช้นวัตกรรม (Innovate) เพื่อ Transform ไปยังตำแหน่งทางการค้าที่เราอยากเป็นและมีความได้เปรียบทางการแข่งขัน)

ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร นักการตลาดไม่มีคำว่าวิกฤติ แต่จะมองว่ามีส่วนแบ่งการตลาดอย่างไร เพื่อให้ขายของได้  เพราะในทุกวิกฤติต้องมองโอกาสที่จะแซงคู่แข่งได้ เพราะการตลาดคือการแข่งขัน  

“A-B-C-D-E” 5 คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs

พร้อมกันนั้น คุณสุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล อุปนายกฝ่าย Digital Marketing & Technology และศาสตราจารย์วิทวัส รุ่งเรืองผล กรรมการอำนวยการของสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย  ยังได้แนะ “5 มุมมองที่นักการตลาดและผู้ประกอบการต้องคิดต่อ”

โดยได้เผยกลยุทธ์สำคัญสำหรับ SMEs ไทยในการเร่งเครื่องสู่ความสำเร็จท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ภายใต้แนวคิด “A-B-C-D-E 5 คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs” ซึ่งนำเสนอมุมมองที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืน นั่นคือ

A – Asia Market: มุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดเอเชียที่มีการเติบโตสูง โดยเฉพาะอาเซียน จีน และอินเดีย ผ่านช่องทาง e-commerce และการสร้างความสัมพันธ์กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

B – Branding: สร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งโดยเน้นการสร้างมูลค่าและคุณค่าที่แตกต่าง มุ่งเน้นการสร้างกำไรจากลูกค้าที่เห็นคุณค่าแบรนด์มากกว่าการเน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว

C – Collaboration: ส่งเสริมการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าและเสริมจุดแข็งซึ่งกันและกัน

D – Digital: นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยใช้ประโยชน์จากความคล่องตัวของ SMEs ในการทดลองนวัตกรรมใหม่ ๆ

E – Equity: ความถูกต้อง การดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความถูกต้อง เช่น ความรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม การใช้ระบบบัญชีเดียว เพื่อความโปร่งใสและการเติบโตในอนาคต การดำเนินธุรกิจที่ในระยะยาวต้องสามารถสร้างกำไรได้ ไม่ใช่การเติบโตบนฐานของยอดขายจากการตัดราคา

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆ SMEs ไทยจำเป็นต้องปรับตัวและมองหาโอกาสใหม่ ๆ อยู่เสมอ แนวคิด A-B-C-D-E 5 คันเร่งการตลาดสำหรับ SMEs นี้จะเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถนำพาธุรกิจไปสู่ความสำเร็จในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างมูลค่าและคุณค่าให้กับลูกค้า มากกว่าการแข่งขันด้านราคา ซึ่งจะช่วยให้ SMEs สามารถสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว

MAT ก้าวสู่การเป็น Marketing Accelerator 

ในโอกาสการเข้ารับตำแหน่งของคณะกรรมการอำนวยการ สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) ชุดใหม่วาระ ปี 2567-2569  ได้สรุปนโยบายและแนวทางการทำงานของสมาคมฯ เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ 5 ประการ

1. Branding the Nation การใช้องค์ความรู้ด้านการตลาดเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ

2. Creating Net Positive การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจสร้างพลังบวกคืนสู่สังคม สิ่งแวดล้อม และโลกของเรา

3. Driving New Business Growth การเสริมความแกร่งหรือความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจของคนไทยให้สามารถเดินหน้าเติบโตต่อไป

4. Creating Platforms for Sustainable Advantage การสร้างและเชื่อมโยงพันธมิตรของสมาคมฯ ทั้งพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน

5. Marketing for All การสนับสนุนเรื่องการใช้ความรู้ด้านตลาดเพื่อคนตัวเล็กหรือหมายถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม

นอกจากนี้ สมาคมฯ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในการปรับบทบาทจาก “Platform” สู่การเป็น “Accelerator” โดยมีแผนร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำข้อมูล Foresight และ Insight ที่จำเป็น เพื่อให้นักการตลาดและผู้ประกอบการมีข้อมูลที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง 

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like