ธุรกิจร้านอาหาร เป็นหนึ่งในเซ็กเตอร์ใหญ่ของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศไทย ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 400,000 ล้านบาท ทั้งยังเป็นธุรกิจที่อยู่ในชีวิตประจำวันและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ผลทำให้เกิดการแข่งขันมากมายหลากหลากเซกเมนต์และหลากหลายแบรนด์ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา
ทำให้ทิศทางการแข่งขันของ “ธุรกิจอาหาร” มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยปัจจัยหลักส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่นเดียวกับแต่ละแบรนด์ร้านอาหารที่ต้องปรับตัวตามไปด้วย เช่นเดียวกับ ไมเนอร์ ฟู้ด (Minor Food) อีกหนึ่งธุรกิจในเครือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) คืออีกหนึ่งในผู้นำธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ที่เร่งปรับตัว กลยุทธ์ต่างๆ ตามเทรนด์ของผู้บริโภค และรับมือกับปัจจัยลบต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะหลังผ่านการเผชิญวิกฤติโควิดตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไมเนอร์ ฟู้ด ฝ่ามรสุมจนสามารถฟื้นชทำกำไรอีกครั้ง โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา สามารถสร้างประวัติศาสตร์นิวไฮสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยมีรายได้เติบโต 13% และกำไรเติบโต 100% หลายๆ แบรนด์ทำได้ดีอย่าง แดรี่ควีนส์ และสเวนเซ่นส์ เป็นต้น
คุณ ธันยเชษฐ์ เอกเวชวิท ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในตลาดประเทศไทยเรามีการใช้กลยุทธ์รูปแบบต่างๆ จนประสบความสำเร็จด้วยยอดขายนิวไฮในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้กลยุทธ์การ “ขิง” กันภายในเครือ เพื่อสร้างแบรนด์ร่วมกัน จนกลายเป็นอีกหนึ่งคัลเจอร์ของการสร้างกลยุทธ์ในไมเนอร์ ไม่ใช่เพื่อแย่งยอดขายกัน แต่เพื่อหนุนกันเหมือน 1+1 = 5 เป็นต้น ” คุณธันยเชษฐ์กล่าว
ทำให้ช่วงที่ผ่านมาไมเนอร์ ฟู้ด ต้องปรับตัวรวมถึงมองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ อย่างครอบคลุมเพี่อตอบโจทย์ผู้บริโภค และขับเคลื่อนองค์กรให้เป็นไปตามเป้าหมาย อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ มีการยกระดับประสบการณ์การรับประทานอาหารทั้งในร้านและแบบดิลิเวอรี ตลอดจนการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับการจัดส่ง การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายแบบ Omnichannel เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการได้สะดวกยิ่งขึ้นรวมถึงการใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจมากที่สุด
“ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไมเนอร์ฯ มีการปรับกลยุทธ์และทำความเข้าใจกับลูกค้ามากขึ้น โดยมีการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็น Dairy Queen ที่เปิด “DQ Lounge” เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามารับประทายไอศกรีมได้ ตลอดจนการรีแบรนด์ดิ้งแบรนด์ The Pizza Company โฉมใหม่ตั้งแต่ดีไซน์ร้าน เมนู ตลอดจนยูนิฟอร์มจนสามารถสร้างการเติบโตดีเป็นตัวเลขสองหลัก”
นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจมากที่สุด ในขณะเดียวกันได้ให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน เช่น การใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการขยะอาหาร การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนการพัฒนาทักษะบุคลากรและพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการและสร้างความพึงพอใจให้กับผู้บริโภค จากการดำเนินงานที่มุ่งมั่นทั้งหมดข้างต้น
ส่งผลให้ ไมเนอร์ ฟู้ด สามารถคว้ารางวัล “สุดยอดการตลาด ประเภท Marketing 3.0” จากการเข้าร่วมแข่งขันในเวที Asia Marketing Excellence Award 2024 จากสหพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย ซึ่งเป็นการยกย่ององค์กรที่มีกลยุทธ์การตลาดที่เป็นเลิศในทุกมิติ โดยคำนึงถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่มีต่อผู้บริโภค ชุมชน และสิ่งแวดล้อม
กางแผน 3 ปี ทะยาน Global Company ส่งแบรนด์อาหารเจาะประเทศใหญ่ๆ
จากนี้ก้าวต่อไปของ “ไมเนอร์ ฟู้ด” คือการก้าวสู่ Global Company อย่างเต็มรูปแบบในช่วง 3-5 ปีนับจากนี้ โดยจะต้องมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากต่างประเทศ 60% และไทย 40% จากปัจจุบันที่ไมเนอร์ ฟู้ด มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศ 40% ส่วนในไทย 60% มีจำนวนร้านมากกว่า 2,600 แห่งใน 24 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์ หม่าล่า, พูเลท์, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง ฯลฯ เป็นต้น
ทั้งนี้จะขยายสาขาเพิ่มเติมในประเทศที่ทำตลาดอยู่แล้วอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ที่เป็นกลุ่มประเทศขนาดใหญ่ในการทำตลาดอยู่แล้ว และยังจะขยายสาขาของแบรนด์ต่างๆ เพิ่มเติมในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และมัลดีฟส์ เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด “อินเดีย” ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ในการขยายแบรนด์ร้านอาหารเข้าไปทำตลาดเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้นี้
นอกจากนี้ยังพิจารณากลุ่มทวีปอื่นที่ขยายแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ได้ และผู้บริโภคจะต้องมีพฤติกรรมที่เปิดรับคอนเซปต์ใหม่ๆ และมีศูนย์การค้าซึ่งเป็นโลเคชั่นหลักของแบรนด์อยู่เป็นจำนวนมาก โดยแบรนด์ที่เข้าไปจะต้องเป็นแบรนด์ที่คาแรคเตอร์ชัดเจนและมีคอนเซปต์ที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิม
ตามแผนงานทะยาน Global Company ทางไมเนอร์ฯ จะแบ่งการทำตลาดออกเป็น 3 กลุ่มแบรนด์หลักในการทำตลาด ได้แก่
1.กลุ่มแบรนด์ที่พัฒนาในประเทศไทย และมีศักยภาพในการส่งออก
- The Pizza Company ปัจจุบันมีอยู่แล้ว 160 สาขาในต่างประเทศ ยังมีแผนขยายเพิ่มเติมในประเทศแถบตะวันออกกลาง
- GAGA (กาก้า) อีกหนึ่งแบรนด์ที่มีคาแรคเตอร์ ที่เป็นอินเตอร์ได้สามารถขยายตลาดต่างประเทศได้เร็วๆนี้
2.กลุ่มแบรนด์ที่เกิดและอยู่ในตลาดอินเตอร์อยู่แล้ว
- ThaiExpress ร้านอาหารไทยจากสิงคโปร์ ที่เปิดให้บริการอาหารไทยต้นตำรับในราคาย่อมเยาปัจจุบันมีสาขาในสิงคโปร์และเวียดนามกว่า 20 สาขา เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีศักยภาพใยการขยายประเทศใหม่ๆ
- The Coffee Club ขยายเพิ่มเติมในมัลดีฟส์ และประเทศแถบตะวันออกกลาง
- Swensen’s เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ขยายออกไป กัมพูชา ลาว เวียดนาม และมัลดีฟส์
- Sizzler หลังได้สิทธิ์ในการบริหารทั่วโลก โดยได้ขยายแบรนด์ Sizzler ไปเวียดนาม ญี่ปุ่นแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศที่กำลังศึกษา เบื้องต้นเริ่มต้นที่ประเทศในกลุ่มอาเซี่ยนก่อน มีหลายฟอร์แมทที่สามารถขยายได้
- Dairy Queen และ Burger Kingที่มีแผนยายเพิ่มเติมในมัลดีฟส์
นอกจากนี้แบรนด์ที่กล่าวข้างต้น ไมเนอร์ ฟู้ด ยังมีแบรนด์ในเครือที่มีศักยภาพในแต่ละประเทศอีกหลายแบรนด์ในการขยายตลาดออกไป โดยใน 3-5 ปีนับจากนี้จะได้เห็นแบรนด์ในเครือไมเนอร์ ฟู้ดเปิดตลาดนอกประเทศมากขึ้นอย่างแน่นอน
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE