HomeSponsoredส่องขุมกำลัง “FAB” ผู้ท้าชิงน้องใหม่ จากการร่วมทุน 3 บิ๊กธุรกิจ “สิงห์ – Aqua – ใบหยก” เพื่อบุกธุรกิจอาหารเมืองไทย

ส่องขุมกำลัง “FAB” ผู้ท้าชิงน้องใหม่ จากการร่วมทุน 3 บิ๊กธุรกิจ “สิงห์ – Aqua – ใบหยก” เพื่อบุกธุรกิจอาหารเมืองไทย

แชร์ :

สะเทือนธุรกิจร้านอาหารมูลค่ากว่า 6.6 แสนล้านบาท ของเมืองไทยสุด ๆ เมื่อ 3 บิ๊กใหญ่ในแวดวงอย่าง FOOD FACTORS  บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด , AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ เบียร์-ใบหยก จัดตั้งตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) โดยมีเป้าหมายเพื่อบุกธุรกิจอาหารด้วยทุนจดทะเบียนหลังจัดโครงสร้าง เท่ากับ 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็น AQUA ถือหุ้นใหญ่ 51%  บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ถือหุ้น 40% และนายปิยะเลิศ ใบหยก ถือหุ้น 9% กระบวนการจัดตั้งจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนตุลาคม 2567

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ทั้งนี้จะเป็นการรวม 8 แบรนด์อาหารดัง ได้แก่ ซานตาเฟ่, ซานตาเฟ่ อีซี่, เหม็ง แซ็ปนัว, Sekai no Yamachan, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน, ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน และอุชิดายะ ราเมน มาไว้ภายใต้ร่มคันเดียวกัน นั่นก็คือ FAB หรือ เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้งฯ

โดยได้แต่งตั้ง “คุณเบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก” นั่งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) เติมสีสัน สร้างไอเดีย ขับเคลื่อนธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งที่มาของชื่อ FAB มาจาก F = Food Factors บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ภายใต้การดูแลของ “คุณเต้-ภูริต ภิรมย์ภักดี , A = AQUA บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของ “ฉาย บุนนาค” รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA และ B = “เบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก”

คุณภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวถึงที่มาของการร่วมทุนในครั้งนี้ว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม คือ “คุณภาพ” ต้องดีที่สุดเท่านั้น เพื่อส่งมอบสินค้าคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค บริษัทฯ มองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิมจึงเกิดเป็นการร่วมทุนครั้งนี้ขึ้น

“เรามีเป้าหมายเพื่อการเติบโตระยะยาวจึงต้องคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อมองหาการเติบโต จริงๆตัวผมเองไม่ถนัดเรื่องการทำอาหาร เพียงแต่ชอบกินอย่างเดียวแน่นอนโดยส่วนตัวถนัดธุรกิจเครื่องดื่มมากกว่า ดังนั้นหากเราจะมองหา New S-Curve ในการเติบโต เราต้องมีคนที่ถนัดมาร่วมกันทำก็จะเติบโตได้ดีในอนาคต” ภูริตกล่าว

ส่อง 3 ขุมกำลังความแกร่งกับ 3 พาร์ทเนอร์ เติมเต็มธุรกิจอาหาร

ท่ามกลางการดำเนินธุรกิจในยุคที่ไม่เพียงแข่งกับตัวเองและแบรนด์อื่นที่ไม่ใช่แค่ในเซกเมนต์เดียวกันเท่านั้น หากแต่คือการแข่งขันกับธุรกิจร้านอาหารทุกรูปแบบในท้องตลาด เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าอยากเข้ามารับประทานและใช้บริการภายในร้าน ดังนั้นการทำงานนับจากนี้จะเน้นไปที่ความใส่ใจ คุณภาพ ตลอดจนการพัฒนาแบรนด์ใหม่อย่างน้อย 1 แบรนด์ต่อปี ทั้งกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนของหวาน ตลอดจนการมองหาธุรกิจใหม่ ผ่านพาร์ทเนอร์ที่จะเข้ามาในอนาคต

คุณปิยะเลิศ ใบหยก (หรือ เบียร์ ใบหยก) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CEO บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด (FAB) กล่าวถึงการร่วมมือครั้งสำคัญนี้ว่า นอกจากการพัฒนาแบรนด์ที่มีอยู่เดิมในมือทั้งหมดแล้ว ในระยะยาวบริษัทยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างต่อเนื่อง ด้วยโมเดลที่หลากหลายทั้งการลงทุนที่เปิดกว้าง การพัฒนาแบรนด์ขึ้นมาเอง การร่วมทุน ตลอดจนการซื้อกิจการที่มีศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัท

“กลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดปัจจุบัน  เพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็คงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราพยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อเจาะเข้าถึงตัวลูกค้าได้และต้องเป็นผู้นำทุกเทรนด์ ที่สำคัญคือความจริงใจต้องมาก่อน เราจึงจะสามารถครองใจผู้บริโภคได้”

การร่วมมือกันครั้งนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในอนาคต  ด้วยการนำจุดแข็งที่แตกต่างกันของทั้ง 3 ฝ่ายมาใช้ในการซินเนอร์ยี่  และอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ภายใต้แนวคิด “เมื่อเรารวมกันมันต้องดีและไปได้ไกลมากขึ้น” โดยจะมีทั้งกิจกรรม ความพิเศษหลายอย่าง เพื่อสร้างความสนุกไปยังผู้บริโภค ตลอดจนการร่วมมือกันเพื่อขยายฐานลูกค้าออกไปเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้ FAB จะเป็นการรวมเอา 8 แบรนด์จาก 3 หุ่นส่วนหลักมาไว้ด้วยกันได้แก่ ประกอบด้วย ของฟู้ด แฟคเตอร์ คือ ร้านซานตาเฟ่ 127 สาขา , ซานตาเฟ่ อีซี่ 5 สาขา , เหม็ง แซ็ปนัว 10 สาขา รวมเป็นจำนวน 142 สาขา, ของทางอควา คือ ราเมงเดส 5 สาขา และของนายปิยะเลิศ  ใบหยก คือ Sekai no Yamachan จำนวน 10 สาขา, ส้มตำ เจ๊แดง สามย่าน จำนวน 42 สาขา, อิคโคฉะ ราเมน 2 สาขา และ อุชิดายะ ราเมน 3 สาขา

หากส่องขุมกำลังของทั้ง 3 พาร์ทเนอร์ จะพบว่า บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ที่มีอยู่ธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว และทุกแบรนด์ล้วนแต่ได้รับการตอบรับดีในตลาด โดยเฉพาะซานตาเฟ่ สเต็กและ เหม็ง แซ็ปนัว ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และยังมีคุณเบียร์-ใบหยก ซึ่งเป็นทั้งรองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท บีเอ็นเอฟ โฮดิ้ง จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอาหารและมีแบรนด์เป็นของตัวเองมายาวนาน

ตลอดจนฝั่งของ AQUA ซึ่งเป็นบริษัทบริหารการลงทุนที่มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจนวัตกรรมด้านการเงิน(Fintech) ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มีแบรนด์ดังอย่างร้านราเมงเดส ฯลฯ ก็เป็นโอกาสอันดีในการมองหาเส้นทางการเติบในธุรกิจใหม่ๆ ที่มั่นคงในระยะยาว หลังได้ขายธุรกิจป้ายออกไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา

คุณฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA  กล่าวว่า การ Synergy ร่วมกันในครั้งนี้จะผลักดันให้กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company สามารถสร้างแหล่งรายได้จากประเภทธุรกิจอาหารได้มากขึ้น และยังเรามองว่า ธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นปัจจจัยหลักในการดำเนินชีวิตที่ประชาชนต้องออกมาจับจ่าย และยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจต่ำกว่า เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ

การซินเนอร์ยี่หลังบ้านในช่วงแรกจะเป็นการจัดทัพธุรกิจใหม่แทบทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของการจัดการระบบหลังบ้าน (Back Office) เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการหลังจากที่ทั้ง 3 เข้ามาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเป็น ด้านต้นทุน ครัวกลาง การบริการจัดการคำสั่งซื้อวัตถุดิบต่างๆ ตลอดจนการทำแคมเปญต่างๆ ซึ่งหลังจากการการปรับทัพครั้งนี้คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนดำเนินการได้เบื้องต้น 2-3% นับว่าเป็นข้อได้เปรียบที่ดีในการทำธุรกิจร้านอาหารท่ามกลางภาวะต้นทุนที่ค่อนข้างผันผวนในปัจจุบัน

มากกว่า “ร้านอาหาร”  แต่คือผู้ร่วมท้าชิงใหม่ในตลาดกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่พร้อมต่อยอดแบรนด์ตลอดเวลา

คุณเบียร์-ปิยะเลิศ ใบหยก ยังเผยถึงทิศทางการดำเนินงานว่า สำหรับโมเดลธุรกิจนับจากนี้จะเป็นการขยายแบรนด์ที่มีศักยภาพอย่างซานตาเฟ่ และซานตาเฟ่ อีซี่ มากขึ้น เนื่องจากเป็นแบรนด์แรกเห็นภาพการเติบโต เพราะอยู่ในตลาดมากว่า 20 ปี และยังเป็นแบรนด์ที่ทำรายได้หลักเกิน 50% ให้แก่บริษัท จึงเห็นศักยภาพและสามารถลงทุนได้ โดยปีหน้าจะรีเฟรซแบรนด์ให้สนุกและมีความทุนสมัยมากขึ้น 
ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่เกินไตรมาส 2-3 ปี 2568

ส่วนอีกแบรนด์อย่าง “ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน” ตั้งแต่ปีหน้าไปจะเริ่มมีการขยายตลาดไปต่างจังหวัดมากขึ้น เพราะมองว่าแบรนด์มีการเติบโตที่รวดเร็วในช่วง 2 ปีสามาถเปิดแล้ว 40 สาขา ซึ่งที่ผ่านมามีลูกค้าติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์เป็นจำนวนมากทั้งในไทย และสิงคโปร์ ญี่ปุ่น  โดยจะเริ่มอย่างเป็นทางการได้ในปี 2568 เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ในปีหน้า ยังจะได้เห็นแบรนด์ใหม่ที่ทาง FAB พัฒนาขึ้นมาเองในกลุ่มแบรนด์ปิ้งย่าง ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่ทาง “คุณเบียร์ ใบหยก” ถนัดและเริ่มต้นทำครั้งแรกที่หลายปีที่ผ่านมา พร้อมกับพัฒนาที่ดินราว 3 ไร่ ในย่านทาวน์ อิน ทาวน์ ให้เป็นแฟล็กชิปแบบมัลติแบรนด์ ที่รวมเอาร้านอาหารในเครือไว้ในที่เดียวกัน  และยังยังมีแผนงานพัฒนาแบรนด์ของหวาน เครื่องดื่มเข้ามาทำตลาดในอนาคตเพิ่มเติม โดยในปี 2568 ร้านอาหารของ FAB จะต้องมีสาขา 250 สาขา

น่าจับตาก้าวใหม่ของ “FAB” ในฐานะผู้ท้าชิงรายใหม่ที่แวดวงร้านอาหารเมืองไทย ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย Passion ความสามารถ ด้วยการนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมารวมกันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค อีกทั้งยังรองรับการแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารเมืองไทยที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อ


แชร์ :

You may also like