HomeBrand Move !!เพราะการมีลูก “ทำให้รายได้ลดลง” คาดปี 2030 ตัวเลขสาวโสดแตะ 45%

เพราะการมีลูก “ทำให้รายได้ลดลง” คาดปี 2030 ตัวเลขสาวโสดแตะ 45%

แชร์ :

ผลสำรวจของ Morgan Stanley ในปี 2019 คาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2030 จะมีผู้หญิงวัยทำงาน (อายุระหว่าง 25 – 44 ปี) ราว 45% ตัดสินใจเป็นโสด – ไม่มีลูก และทุ่มเวลาดังกล่าวให้กับการทำงาน

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สำหรับเหตุผลของการตัดสินใจดังกล่าว มีมุมมองจากนักเศรษฐศาสตร์อย่าง Ellen Zentner ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า ในอดีต การไม่ได้รับการศึกษามากเท่าที่ควร ตลอดจนการได้รับโอกาสในหน้าที่การงานด้อยกว่าผู้ชาย เป็นสาเหตุให้เกิดช่องว่างทางรายได้ แต่ปัจจุบัน พบว่า การมีลูก และการต้องหยุดงานเพื่อออกมาเลี้ยงลูกคือสิ่งที่ทำให้รายได้ของผู้หญิงลดลง นั่นทำให้ผู้หญิงเลือกที่จะไม่มีลูกมากขึ้น

ผลสำรวจยังคาดการณ์ด้วยว่า นับตั้งแต่ปี 2018 – 2030 จำนวนผู้หญิงโสดในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้น 1.2% ทุกปี และส่งผลให้ในปี 2030 สหรัฐอเมริกาจะมีผู้หญิงโสดราว 45% ของประชากรทั้งหมด และทำให้ตลาดแรงงานมีจำนวนผู้หญิงทำงานฟูลไทม์เพิ่มขึ้น ซึ่งในแง่หนึ่งพบว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากผู้หญิงโสดมีแนวโน้มใช้จ่ายสูงกว่าคนมีครอบครัว ทั้งในเรื่องการท่องเที่ยว การรับประทานอาหารนอกบ้าน ชีวิตกลางคืน เครื่องสำอาง ความสวยความงาม ชอปปิง ฯลฯ

ส่วนความท้าทายก็มีรออยู่เช่นกัน เพราะมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งทำการศึกษาผู้หญิงโสดจำนวน 200 คน (เผยแพร่เมื่อปี 2020) พบว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูกนั้น อาจมีปัญหาด้านสุขภาพจิตมากกว่าคนที่มีครอบครัว โดยสิ่งที่นักวิจัยพบก็คือ ผู้หญิงโสดมักเผชิญปัญหาทางอารมณ์ 17% มีอาการซึมเศร้า ซึ่งอาจพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าแบบ dysthymia (สูญเสียความสนใจในกิจกรรมประจำวัน สิ้นหวัง นับถือตนเองต่ำ วิพากษ์วิจารณ์ตนเอง มีปัญหาในการจดจ่อและตัดสินใจ มีประสิทธิภาพและผลผลิต หลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม รู้สึกผิดและวิตกกังวลในอดีต นอนไม่หลับ ฯลฯ) ด้วยนั่นเอง

ขณะที่การใช้จ่ายของสาวโสดที่มีกำลังซื้อมากกว่านั้น ก็ถูกตั้งคำถามว่าจะมีความยั่งยืนแค่ไหน เนื่องจากจำนวนครอบครัวที่มีพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกก็จะลดลงเรื่อย ๆ และในที่สุดก็จะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจได้เช่นกัน

Source

Source

Source


แชร์ :

You may also like