OR สรุปผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2567 ขาดทุน 1,609 ล้านบาท จากกลุ่ม Mobility ลดลง มีค่าใช้จ่ายยุติธุรกิจ “เท็กซัส ชิคเก้น” ส่วนผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2567 มีรายได้ขายและบริการ 577,079 ล้านบาท ลดลง 6.8% เทียบปีก่อน กำไรสุทธิ 4,651 ล้านบาท ลดลง 57.3% เทียบปีก่อน
สรุปไตรมาส 3 ปี 2567
– ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2567 มีรายได้ขายและบริการ 176,131 ล้านบาท ลดลง 8.1% เทียบปีก่อน ขาดทุน 1,609 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปีก่อนกำไรสุทธิ 5,170 ล้านบาท
– รายได้ขายและบริการปรับลดลงทุกธุรกิจ กลุ่ม Mobility ลดลง 3.9% ตามราคาขายเฉลี่ยที่ปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก กลุ่มธุรกิจ Global ปรับลดลง 16.8%
– EBITDA จำนวน 1,763 ล้านบาท ลดลง 76.6% เทียบปีก่อน โดยลดลงในทุกกลุ่มธุรกิจ
– มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นจากเงินบาทแข็งค่าประมาณ 12% เมื่อเทียบเงินดอลลาร์สหรัฐ
สรุปตัวเลข 9 เดือน ปี 2567
– รายได้ขายและบริการ 538,054 ล้านบาท ลดลง 39,024 ล้านบาท ลดลง 6.8% เทียบปีก่อน มีกำไรสุทธิ 4,651 ล้านบาท ลดลง 57.3%
– กลุ่มธุรกิจ Mobility ผลประกอบการลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและสภาพตลาดที่แข่งขันสูง รวมทั้งปริมาณการขายที่ลดลง
– ธุรกิจ Lifestyle มีรายได้ขายและบริการเพิ่มขึ้น 1,316 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 8.1% เทียบปีก่อน ตามการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มและธุรกิจค้าปลีกอื่นๆ
– EBITDA จำนวน 12,779 ล้านบาท ลดลง 5,904 ล้านบาท หรือลดลง 31.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจากกลุ่มธุรกิจ Mobility และกลุ่มธุรกิจ Global ที่ภาพรวมผลประกอบการที่อ่อนตัวลงจากราคาน้ำมันในตลาดโลก
– EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ปรับเพิ่มขึ้นจากธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายพิเศษ (Extra Item) เนื่องจากการยุติธุรกิจ “เท็กซัส ชิคเก้น”
– ปัจจุบัน OR มีเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่มรวม 4,462 สาขา ไม่ว่าจะเป็น Café Amazon, Pearly Tea และ Pacamara Coffee Roasters
– Café Amazon มี 4,339 สาขา เพิ่มขึ้น 274 สาขา ปริมาณขายรวม 299 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 8.3% จากปีก่อน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดยอดปริมาณจำหน่าย 1 ล้านแก้วต่อวัน
คุณดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้เหมาะสม เพื่อให้ทุกการตัดสินใจลงทุน ยังได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม ปัจจุบัน OR อยู่ระหว่างการประเมินทบทวนความเหมาะสมของ Investment portfolio
โดยไตรมาส 3 ที่ผ่านมา OR ได้ยุติการดำเนินธุรกิจ “เท็กซัส ชิคเก้น” และขายหุ้นทั้งหมดในบริษัท อิ่มทรัพย์ โกลบอล คูซีน จำกัด (ISGC / Kouen group) ซึ่ง OR ถือหุ้น 25% เกิดผลขาดทุนและค่าใช้พิเศษที่เกี่ยวข้อง (Extra Item) รวม 552 ล้านบาท เชื่อว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว เพื่อสร้างโอกาสใหม่และเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ OR จะยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงแสวงหาพันธมิตรที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับเป้าหมายมุ่งสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มต่อไป
สำหรับการดำเนินธุรกิจของ OR ในไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจตามสภาพเศรษฐกิจ ที่มีแนวโน้มขยายตัวจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งมีวันหยุดและมีการเดินทางสูง รวมไปถึงการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของ OR ในทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจ Mobility ทั้งในด้านการขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการ PTT Station รวมไปถึงการจำหน่ายน้ำมันอากาศยาน กลุ่มธุรกิจ Lifestyle และกลุ่มธุรกิจ Global ตามแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มขยายตัว
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE