ไทยขึ้นแท่นอันดับ 3 ในตลาดโลก ในการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งไม่ได้มาเพราะโชค แต่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่ลงตัว ของแหล่งผลิตวัตถุดิบชั้นดี ที่มีผลผลิตทางการเกษตรเป็นจำนวนมาก ขณะที่บริบททางสังคม เศรษฐกิจไทยและทั่วโลกที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแนวคิดการมีครอบครัว หันมาเลี้ยงของหมา น้องแมว ให้เป็นสมาชิกสำคัญของครอบครัวทดแทนการมีบุตร รวมถึงตลาดในประเทศที่ร้านค้าอาหารสัตว์เลี้ยง ก่อให้เกิดการขยายตัวของห่วงโซ่ธุรกิจสัตว์เลี้ยงอีกมาก
รายงานฝ่ายวิจัยของสถาบันการเงินหลายสำนัก ระบุว่าปี 2567 มีมูลค่าตลาดอาหารสัตว์สูงถึงราว 41,700 ล้านบาท โต 15.8% จากปีก่อน ขณะที่ตลาดส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 19.5% กล่าวได้ว่า นี่คือธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล หากคิดเป็นมูลค่าตลาดโลกอยู่ที่กว่า 70,000 ล้านบาท และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนสุนัขและแมวทั่วโลกที่มีอยู่ 1,000 ล้านตัว
หากย้อนไปกว่า 25 ปี ตลาดอาหารสัตว์ในไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีการเข้ามาทำตลาดโดย มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) ภายใต้ บริษัท มาร์ส อินคอร์ปอเรท (Mars, Incorporated) ผู้นำระดับโลกด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง อาหารขนม และอาหารทั่วไป นับเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทุกคนรู้จักดีในท้องตลาดทั่วโลก เรียกว่าเป็น Brand Loyalty ที่ได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจในผลิตภัณฑ์มาอย่างยาวนาน อย่างยี่ห้อ PEDIGREE®, WHISKAS®, IAMS®, CESAR®, SHEBA®, TEMPTATIONS™
จากความนิยมในแบรนด์ต่างๆ ของมาร์ส เพ็ทแคร์ มาเปิดตลาดในไทย จนเป็นที่ยอมรับของตลาดอาหารเพื่อน้องหมา น้องแมว ซึ่งมาร์ส เพ็ทแคร์ ได้เห็นศักยภาพของตลาดไทย โดยในปี 2542 ได้ตั้งโรงงานขึ้นที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา นับเป็นโรงงานแห่งแรกของมาร์ส เพ็ทแคร์ ประเทศไทย ต่อมาได้ขยายการดำเนินงาน เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งในประเทศและทั่วโลก โรงงานแห่งนี้ มีผู้ร่วมงานและ Manpower ถึง 1,400 คน สร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน สร้างอาชีพส่งต่อรุ่นต่อรุ่น จากรุ่นพ่อที่ทำงานที่โรงงาน ปัจจุบันได้มีรุ่นลูกมาทำงานที่โรงงานปากช่องด้วยกันแล้ว และยังสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ ชนิดต่างๆได้ถึง 65 ชนิด จนถึงทุกวันนี้ ที่สำคัญยังมีการส่งออกไปยัง 36 ประเทศทั่วโลก กลายเป็นโรงงานมาร์สที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
“สูตรการคิดค้นอาหารสัตว์มาร์สเพ็ทแคร์ ได้ผ่านงานวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนากระบวนการผลิต ทำให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่อาหารสัตว์เลี้ยงแบบแห้ง และแบบเปียกที่เสิร์ฟครั้งเดียว ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ดูแลฟันเฉพาะทาง รวมถึงขนมขบเคี้ยว/อาหารว่างสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีประโยชน์และส่งเสริมสุขภาพสำหรับหมาและแมว” ธีรเดช กสิเสรีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการผลิต บริษัท มาร์ส เพ็ท นูทริชั่น ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาในกระบวนการผลิต
ทั้งนี้ มาร์ส เพ็ทแคร์ ยังได้ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและความสามารถในการผลิต ให้สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ให้ความสำคัญในการดูแลมากยิ่งขึ้น จากการก่อตั้งและเริ่มการผลิตครั้งแรกในไทยในปี 2542 ให้กับ Pet Parent และสัตว์เลี้ยงทั่วโลก ด้วยคุณภาพและมาตรฐาน ป้อนกลุ่มตลาดในทุกระดับ ตั้งแต่ตลาดพรีเมียม ไปจนถึงตลาดทั่วไป หลังจากนั้นมาร์สได้มีการลงทุนตั้งโรงงานผลิตอาหารแบบเปียกชนิดซอง ขึ้นอีกในปี 2545 โรงงานผลิตขนมขบเคี้ยว/อาหารว่างสำหรับสัตว์เลี้ยงในปี 2546 และโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ทันสมัยในปี 2564
นอกจากการพัฒนากระบวนการผลิต มาร์ส เพ็ทแคร์ ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยในการทำงาน จนทำให้โรงงานปากช่องได้รับรางวัล Zero Accident Award ในระดับ Silver Prize จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน) ที่แสดงถึงความทุ่มเทในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย และยังคงมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงความพยายามในการกำจัดขยะให้เป็นศูนย์ในหลุมฝังกลบ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ รวมถึงการเลือกพื้นที่ตั้งโรงงานใกล้แหล่งวัตถุดิบหลักในการเพาะปลูกข้าวโพด ทำให้สามารถบริหารจัดการและตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งด้านการขนส่งวัตถุดิบ ซึ่งเป็นการช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนได้อีกทางหนึ่ง และเป็นการสนับสนุนวัตถุดิบจากแหล่งการเกษตรในชุมชนอย่างแท้จริง การันตีกับคุณภาพในการผลิตอาหารสุนัขและแมวตามมาตรฐานสากล ด้วยการรับรองของ HCCP , GMP, FSSC22000, SUCI
“เราจะยังคงเดินหน้าเพื่อการเติบโตและพัฒนาต่อไป ในหลัก 5 ประการในการทำงานของมาร์ส ประกอบด้วย คุณภาพ ความรับผิดชอบ ความร่วมมือ ประสิทธิภาพ และอิสระ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินงานและสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย นวัตกรรม และความยั่งยืน” ธีรเดช ทิ้งท้าย