หลายปีที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจบนวิถียั่งยืน หรือ SDGs ถูกมองว่าเป็นแนวทางที่จะช่วยกอบกู้โลกให้กลับมายั่งยืนได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ภาวะโลกร้อนและวิกฤตสิ่งแวดล้อมต่างๆ ยังคงไม่ได้ลดลง ตรงข้ามกลับทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันอุณหภูมิโลกยังร้อนระอุขึ้นทุกปี รวมถึงภาวะน้ำท่วมและภัยแล้งก็เกิดขึ้นซ้ำซาก ขณะเดียวกันทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่จำกัดยังสูญเสียไปอย่างรวดเร็ว การทำแค่ SDGs อย่างเดียวคงจะไม่พอแล้ว และนั่นทำให้แนวคิด “Regenerative Marketing” กลายเป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังถูกพูดถึง
แล้ว Regenerative Marketing หมายถึงอะไรกัน? เหมือนหรือแตกต่างจาก Sustainable อย่างไร เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพชัดขึ้น ในงานสัมมนา Thailand Marketing Day 2025 หัวข้อ Survival Mandate: Regenerative Marketing as the Only Path Forward ทางรอดของธุรกิจนอกจาก Sustainable แล้ว ต้อง Regenerative มีคำตอบ พร้อมวิธีการทำธุรกิจ และการทำตลาดแบบ Regenerative ไปพร้อมกัน เพื่อให้ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในธุรกิจ
โมเดล “พื้นฟู” โลกให้ดีขึ้นกว่าเดิม
เมื่อพูดการรักษ์โลก หลายคนคงคุ้นเคยกับคำว่า Sustainable แต่ความหมายของ Regenerative Marketing ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า จะแตกต่างออกไป เพราะเป็นการสร้างสิ่งใหม่ที่แย่ไปแล้วให้กลับมาดีขึ้น หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การฟื้นฟู ซึ่งไม่ใช่แค่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ต้องทำให้ดีกว่าเดิม
สาเหตุที่ทำให้แนวคิด Regenerative Marketing เกิดขึ้น หลักๆ มาจากโลกตอนนี้สูญเสียมาก อีกทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เจอทุกวันนี้รุนแรงมากขึ้น โดย คุณวชิระชัย คูนำวัฒนา Net Zero Accelerator Director, The Siam Cement Public Company Limited บอกว่า เห็นได้จากสถานการณ์ภูเขาไฟฟูจิมีหิมะปกคลุมช้าสุดในรอบ 130 ปี หรือปะการังฟอกขาว รวมทั้งมีกติกาบังคับ จึงส่งผลให้หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูธรรมชาติให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยพยายามนำสิ่งเหล่านี้มาผนวกกับธุรกิจ
“สมัยก่อนเราเคยคิดว่าเรื่องความยั่งยืนเป็นเรื่องของการทำดี และแยกการทำดีกับการทำธุรกิจออกจากกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว กติกาโลกมันเปลี่ยน หลายประเทศเริ่มบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Tax และ พ.ร.บ. Climate Change สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นกติกาใหม่ ถ้าเราไม่ทำ ไม่ปรับตัว ก็อยู่รอดไม่ได้”
สร้างการใช้ชีวิตแบบ Low Carbon ให้ลูกบ้าน
ผศ.ดร.เกษรา บอกว่า ปัจจุบันธุรกิจและการรักษ์โลกเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสองสิ่งนี้ไปด้วยกัน เพราะความเป็นอยู่ของบริษัทที่แท้จริงอยู่ที่ “กำไร” จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ธุรกิจจะรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยไม่สนใจกำไรเลย เพราะถ้าธุรกิจไม่มี “กำไร” ก็เหมือนไม่มี “อากาศ” เมื่อไม่มีอากาศ ธุรกิจก็ “ตาย”
แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ผศ.ดร.เกษรา บอกว่า ปัจจุบันผู้บริโภค Gen Z และ Gen Y ในเอเชียและไทยหันมาสนใจกับเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยไม่ได้เลือกสินค้าแค่คุณภาพดีเท่านั้น แต่ยังต้องดีต่อโลกด้วย จึงทำให้ธุรกิจสามารถทำ 2 สิ่งนี้ไปด้วยกันง่ายขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน ซึ่งไม่เพียงจะช่วยให้โลกกลับมาดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจมีกำไรในระยะยาวด้วย
โดย ผศ.ดร.เกษรา ยกตัวอย่างธุรกิจของเสนา เป็นธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งวิธีการง่ายสุดในการนำแนวคิด Regenerative Marketing มาปรับใช้กับธุรกิจก็คือ การลดคาร์บอนใน Supply Chain สำหรับเสนาเองก็ทำวิธีนี้ แต่สิ่งที่สนใจมากกว่าการลดคาร์บอนของตัวเอง คือ การช่วยให้ลูกบ้านใช้ชีวิตแบบ Low Carbon ได้ด้วย เพราะมองว่าวิธีนี้จะช่วยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน
ดังนั้น เสนาจึงติดตั้งโซลาร์เซลล์ในคอนโด รวมทั้งเลือกต้นไม้ Low Carbon ที่ดูดซับคาร์บอนได้ดี ขณะเดียวกัน ยังร่วมมือกับบริษัทญี่ปุ่นพัฒนาแพลตฟอร์มในการวัดปริมาณคาร์บอนกับโครงการต่างๆ ที่ทำให้กับลูกบ้าน รวมถึงบริการวีมูฟ ซึ่งเป็นรถรับส่งที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์มาให้บริการ เพื่อให้ลูกบ้านลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวให้มากที่สุด โดยสเตปต่อไปที่เสนาอยากจะให้เกิดขึ้นคือ การที่ลูกบ้าน Sharing ทรัพยากรระหว่างกันเอง
Regenerative จะเกิดได้ ต้องคิดต่าง และร่วมมือกัน
ส่วนคุณวชิระชัย บอกว่า การทำตลาดแบบ Regenerative ให้ได้ผลเป็นรูปธรรม ธุรกิจต้องคิดต่าง และมองนอกกรอบจากสิ่งเดิมๆ ควบคู่กับการร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคน ทำให้ SCG จึงให้ความสำคัญกับการร่วมมืออย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับลูกค้าและไปรษณีย์ไทยนำเศษกระดาษที่ไม่ใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษจนออกมาเป็นแพคเก็จจริงใหม่ รวมไปถึงพัฒนาแคมเปญ Wake up Waste ซึ่งเป็นการรวบรวมพลาสติกที่ไม่ใช่แล้วถึงสถานที่ เพื่อนำไปรีไซเคิล และนำนวัตกรรมมาพัฒนาซีเมนต์และคอนกรีตแบบ Low Carbon เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค ซึ่งปีนี้พัฒนาเป็น Gen 3 แล้ว ซึ่งจะช่วยลดคาร์บอนได้ถึง 40-50%
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE