เลอโนโว (Lenovo) เปิด 9 เทรนด์เทคโนโลยีรับปี 2025 เชื่อมีบทบาทในธุรกิจสูง นำโดย AI การจัดการข้อมูล กลยุทธ์การใช้งานคลาวด์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการสร้างความยั่งยืน คาดธุรกิจที่สามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ได้จะเกิดความได้เปรียบในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลเพิ่มขึ้น โดยทั้ง 9 เทรนด์ประกอบด้วย
1. ภาษา LLMs เฉพาะทาง จะมีบทบาทมากขึ้น
การใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLM ที่เจาะจงสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น LLM สำหรับ Retail, Finance, Healthcare ฯลฯ เนื่องจาก LLM เฉพาะทาง จะช่วยให้การสร้างเนื้อหาหรือคำตอบมีความแม่นยำ และเกี่ยวข้องกันมากขึ้น และทำให้ธุรกิจสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดได้อย่างถูกต้อง
2. การลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้น
ผู้บริหารเลอโนโวระบุว่า ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความตื่นตัวในเรื่องของ AI และ Generative AI อย่างมากในปี 2024 และคาดการณ์ว่า การลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI จะมีมูลค่าสูงถึง 110 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2028 และเมื่อธุรกิจเริ่มหันมาเห็นถึงประโยชน์ที่มากขึ้นของ AI และในปี 2025 จะเป็นปีที่เราได้เห็นการลงทุนด้าน AI เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
3. AI กลายเป็นเพื่อนร่วมงาน
Agentic AI หรือ AI agent ที่มีความสามารถในการปฎิบัติงานหรือตัดสินใจได้ด้วยตนเอง จะเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในอีก 2 -3 ปีข้างหน้าทั้งในแง่ของส่วนบุคคลและส่วนรวม กล่าวคือ AI จะเป็นเพื่อนรวมงานกับมนุษย์ได้อย่างแท้จริง
จากการคาดการณ์ของ การ์ทเนอร์ พบว่า ภายในปี 2028 การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในการทำงานของแต่ละวันจะมี AI เข้ามาช่วยตัดสินใจกว่า 15% โดย AI Agent จะนำ LLM มาใช้สื่อสาร ผ่านชุดข้อมูลความรู้ที่มีเพื่อตอบสนองได้แบบเรียลไทม์ และไม่ต้องพึ่งการประมวลผลบนคลาวด์ ส่งผลให้ข้อมูลมีความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น
4. ธุรกิจมองหา multi-cloud กระจายความเสี่ยง
การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ธุรกิจจำนวนมากในเอเชียแปซิฟิกเริ่มพิจารณาการใช้งานระบบคลาวด์จากผู้ให้บริการsหลายราย หรือ multi-cloud เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น สามารถปรับขนาดการใช้งานได้ตามความต้องการ รวมถึงป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากใช้งานคลาวด์จากผู้บริการรายเดียวต้องหยุดชะงักลง
5. อาชญากรรมไซเบอร์ยังคงเติบโต
จากเหตุการณ์ข้อมูลสำคัญรั่วไหลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2024 การสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ยังคงเป็นหัวข้อที่ธุรกิจในเอเชียแปซิฟิคให้ความสนใจในปี 2025 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งภาครัฐในหลายประเทศล้วนเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องดังกล่าวผ่านกฎหมายหรือ พรบ.ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity Act) ซึ่งทำให้ธุรกิจหันมาลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ และโซลูชันในการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อมาตรการที่รัดกุมยิ่งขึ้นในการเข้าถึงและเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย
6. ธุรกิจ Data Center เป็นที่ต้องการมากขึ้น
กลุ่มธุรกิจ Data Center ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากสาเหตุการบริโภคข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ดังกล่าวจะยังคงมีอยู่ไปจนถึงปี 2025 ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนที่ต้องบริหารการใช้พลังงานและการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ AI
7. Data Center จะให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืน”
การใช้งานบริการดิจิทัลและ AI ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการในการใช้พลังงานของ Data Center เพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาค ปี 2025 นี้จึงเป็นปีที่ธุรกิจจะให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีที่คำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้น และในบางประเทศมีการออกกฎหรือมาตรการที่เข้มงวดขึ้นในการจัดการกับปัญหาโลกร้อน
8. ธุรกิจต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับ AI ได้
เลอโนโวคาดการณ์ว่าในปี 2025 ความต้องการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI โดยเฉพาะนั้นจะเพิ่มขึ้น ทำให้ออกแบบเซิร์ฟเวอร์เพื่อรองรับการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้นตามดีมานด์ รวมไปถึงช่วยลดพื้นที่การจัดเก็บและความจำ ยังผลให้การสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์ เป็นระบบ และสามารถปรับแต่งการจัดเก็บข้อมูลได้ตามต้องการ และยังให้จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9. การลงทุนใน Edge Computing จะเพิ่มขึ้น
ในขณะที่อุตสาหกรรมอย่างโรงงานผลิต การสื่อสารและคมนาคมรวมถึงภาครัฐ มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในเทคโนโลยี IoT และ 5G การลงทุนใน AI และ edge ก็เห็นถึงการเติบโตเช่นกัน โดยจากรายงาน Lenovo’s 2024 CIO Playbook พบการใช้งาน edge เพิ่มขึ้นราว 25% ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เปรียบเทียบระหว่างปี 2023 และ 2024) โดยในปี 2025 อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งาน edge จะเป็นตัวผลักดันที่สำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ และเพิ่มประสิทธิผลให้กับงานนั่นเอง
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
เป็นเพื่อนกับเราได้ที่ LINE