ปี 2567 เรียกได้ว่าเป็นปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจการเงิน เพราะต้องเจอกับสภาพเศรษฐกิจเปราะบางและหนี้ครัวเรือนที่สูง แต่ในปี 2568 ยังเป็นปีที่ธุรกิจต้องเผชิญกับความ “ท้าทาย” สูงเช่นกัน นั่นจึงทำให้เราเห็นบรรดาธนาคารปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์มากขึ้น รวมไปถึง “บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด” หรือ กลุ่มทิสโก้ (Tisco) เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
มองเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 3% แต่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง
คุณศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มองว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3% ดีขึ้นจากปี 2567 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.8% โดยมาจากแรงสนับสนุนด้านการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน และการท่องเที่ยว แต่การขยายตัวก็ยังเปราะบาง เพราะฟื้นตัวไม่ทั่วถึง และยังเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายอย่าง เช่น นโยบายการกีดกันการค้าของสหรัฐฯ, ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยที่ยังสูง รวมถึงคุณภาพลูกหนี้ที่ถดถอย และธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Banking) ซึ่งปีนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้ใบอนุญาติประกอบธุรกิจ ทำให้จะเห็นผู้เล่นเข้ามาใหม่ แต่คงส่งผลกระทบชัดเจนในปีถัดไป
“เราห่วงเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่โตต่ำ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมีสัดส่วน 87.2% เพราะยอมรับว่าเซกเม้นต์ที่เป็นลูกค้าเป้าหมายของบริษัท แม้มีดีมานด์สินเชื่อสูง แต่มีความเปราะบางเช่นกัน”
คุณศักดิ์ชัย บอกถึงสิ่งที่ห่วงมากที่สุด และทำให้กลยุทธ์ของทิสโก้ในปีนี้ จึงมีการปรับพอร์ตโปรดักต์มิกซ์ โดยจะเน้นเซกเม้นต์ที่มีผลตอบแทนสูง เพราะจะเห็นว่า ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าสินเชื่อของทิสโก้ไม่มีการเติบโตเลย แต่สามารถสร้างการเติบโตด้านกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์ที่ดี และรักษามาร์จิ้น ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี
ดังนั้น เซกเม้นต์ที่ทิสโก้จะรุกมากขึ้นในปีนี้คือ สินเชื่อรถใหม่ เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัวหรือลดลง ทำให้เห็นต้นทุนและสามารถประเมินความเสี่ยงได้ชัดเจน จึงสามารถสร้างการเติบโตได้มาก และเมื่อมาดูผลตอบตอบแทน จะเห็นว่าสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 4-5% ส่วนเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซค์ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 23% ส่วนจำนำทะเบียนรถ ดอกเบี้ยอยู่ที่ 14-15%
“ถ้ากำไรสุทธิออกมาแล้วยังคุ้ม เราก็เร่งการเติบโต แต่ถ้าเน็ตเหลือน้อย เราก็ทำน้อยหน่อย เซกเม้นต์ไหนที่เน็ตขาดทุน เราก็ต้องเลิกทำ ซึ่งในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ เราเคยมีสัดส่วนสูงถึง 57% ปัจจุบันเหลือแค่ 34% แม้ในภาวะเศรฐกิจแบบนี้ ดีมานด์ในตลาดอาจจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ Landscape การแข่งขันเป*ลี่ยนไป ทำให้ผู้เล่นบางรายไม่ได้โฟกัสมากนัก จึงคิดว่าหากปรับกระบวนการทำงานภายใน โดยให้พนักงานไปดูแลกลุ่มที่มียอดขายสูง ก็จะทำให้เราสร้างส่วนแบ่งการตลาดได้เติบโตมากขึ้น”
ชิงตลาดสินเชื่อบ้านแลกเงิน
นอกจากการรุกสินเชื่อรถใหม่มากขึ้นแล้ว ปีนี้ทิสโก้ยังจะขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ผ่านสาขา “สมหวัง เงินสั่งได้” ที่มี 808 แห่งมากขึ้น ทั้งสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อบ้านแลกเงิน โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่ขาดสภาพคล่อง แล้วต้องการสภาพคล่องในการใช้จ่ายหรือทำธุรกิจเพิ่ม ขณะที่วงเงินการปล่อยจะไม่สูงมาก โดยให้วงเงินต่อมูลค่าบ้าน หรือ LTV ราว 50%
“มองว่าการเข้ามารุกตลาดตอนนี้ไม่ช้าไป เพราะผู้บริโภคยังต้องการหาที่ผ่อนใหม่จำนวนมาก ประกอบ**กับเราประเมินรายได้แบบค่าเฉลี่ย และดอกเบี้ยต่ำกว่า เนื่องจากต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า จึงเชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับ Non-Bank ได้”
โดยธนาคารได้เริ่มทดลองทำตลาดมาประมาณ 1 หนึ่งปี ผ่านการให้บริการสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อน ปรากฎว่าดีมานด์ค่อนข้างดี สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนละ 40-50 ล้านบาท หรือปีละ 500-600 ล้านบาท ปีนี้จึงมีแผนขยายเข้าไปในเมืองใหญ่มากขึ้น ผ่านสาขาสมหวัง 80 แห่ง พร้อมตั้งเป้าเติบโตเป็นเดือนละ 100 ล้านบาท
ใช้ AI เสริมประสิทธิภาพ ลดคอร์สการทำงาน
ขณะเดียวกัน ยังมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลโดยเฉพาะ AI มาใช้ในธุรกิจ โดยล่าสุดมีการนำพนักงานกว่า 5,000 คนมาออกไอเดียทำโปรเจคต่างๆ ได้ถึง 198 ไอเดีย และคัดกรองเหลือ 50 ไอเดีย จนเข้ารอบสุดท้าย 9 ไอเดีย ทั้งยังมีการจับมือกับ Google เป็น AI Global Partner เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่าน Excellent Center และนำไอเดียของพนักงานมาแปลงไอเดียสู่การปฏิบัติหน้างานได้จริง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดต้นทุนในการดูแลลูกค้าได้มากขึ้น
โดยคุณศักดิ์ชัย เชื่อว่า จากแนวทางการรุกตลาดสินเชื่อจำนำรถยนต์ใหม่ รถจักรยนต์ และบ้านแลกเงิน รวมถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในองค์กรมากขึ้น จะสร้างการเติบโตให้กับทิสโก้ต่อเนื่อง โดยในส่วนของพอร์ตสินเชื่อตั้งเป้าโต 5%
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE