เทรนด์การซื้อสินค้าไอที อิเล็กโทรนิกส์ สมาร์ทโฟน อาจกำลังกลับมาสู่หน้าร้านสาขา อย่างน้อยก็เกิดขึ้นแล้วที่ IT CITY หลังมีการเปิดตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือน (มกราคม – กันยายน 2024) ที่เติบโตต่อเนื่อง พร้อมตัวเลขรายได้ (YoY Growth) ที่เติบโตขึ้น 10.63% และกำไรสุทธิโต 14.44% โดยช่องทางหลักของรายได้คือ “หน้าร้าน” ที่ปัจจุบัน IT CITY มีอยู่ 330 แห่งทั่วประเทศ ส่วนยอดขายออนไลน์ บริษัทเผยว่ายังมีส่วนแบ่งเพียง 5% เท่านั้น พร้อมแย้มแผนจะขยายช่องทางดังกล่าวเพิ่มขึ้นในปีนี้
สำหรับปี 2024 ที่ผ่านมา กลุ่มผลิตภัณฑ์เรือธงในการทำตลาดของ IT CITY ที่มีสัดส่วนยอดขายมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet) 58%
- สินค้าอุปกรณ์ไอที (IT Devices) 27%
- สินค้าอุปกรณ์เสริมไอที (IT Accessory) 7%
โดยทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์พบว่าเป็นสินค้าที่มีสัดส่วนกำไรมากที่สุดด้วย (สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต 48% สินค้าอุปกรณ์ไอที 20% และ สินค้าอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนและแทบเลต 16%)
คุณโสภณ อิงค์ธเนศ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการเติบโตดังกล่าวว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงที่พบหลัง Covid ผ่านไป และคนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้าน ส่งผลให้ยอดขายจากหน้าร้านเติบโตมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าหลักของ IT CITY ซึ่งประกอบด้วย
- สินค้าอุปกรณ์ไอที (IT Devices)
- สินค้าอุปกรณ์สมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet)
- สินค้าอุปกรณ์เสริมไอที (IT Accessory)
- สินค้าอุปกรณ์เสริมสมาร์ทโฟนและแทบเลต (Smartphone/ Tablet Accessory)
- ซิมการ์ด และการเปิดเบอร์
คุณโสภณให้ความเห็นถึงการเติบโตนี้ว่า การขายสมาร์ทโฟนผ่านช่องทางออฟไลน์ (หน้าร้าน) เป็นการขายที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อเทียบกับออนไลน์ที่เป็นตลาด Red Ocean โดยพนักงานหน้าร้านสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ได้มากกว่า ยิ่งเป็นยุคของ AI ที่ผู้บริโภคให้ความสนใจสูง
”เราพบว่าผู้บริโภคที่มาซื้อสมาร์ทโฟนมีสองกลุ่ม คือกลุ่มที่รู้จัก AI แล้ว กับกลุ่มที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับ AI เลย ซึ่งเราได้เทรนพนักงานในการดูแลที่แตกต่างกัน โดยอย่างน้อยพนักงานต้องใช้ AI ทำงานต่าง ๆ ได้ และสามารถนำเสนอความสามารถของ AI ให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าจะช่วยให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นอย่างไร“
จับมือ ”เอไอเอส“ เป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์
ในการแถลงข่าวครั้งนี้ IT CITY ยังประกาศความร่วมมือเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์กับ AIS ด้วย โดยจะมีสิทธิประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้าไอที ซิตี้ และ AIS ในด้านต่าง ๆ เช่น
• ลูกค้าไอที ซิตี้สามารถเปิดเบอร์ AIS ใหม่ พร้อมรับสิทธิ์ส่วนลดพิเศษค่าเครื่อง ผ่านหน้าร้าน IT CITY ได้ทุกสาขาทั่วประเทศ
• ลูกค้าเก่ารายเดือนของ AIS สามารถใช้สิทธิ์ส่วนลดพิเศษค่าเครื่อง ผ่านหน้าร้าน IT CITY ทุกสาขาทั่วประเทศ
• ลูกค้า IT CITY ที่ใช้บริการ AIS ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม เช่น สิทธิ์ส่วนลดในการซื้อสินค้าอื่น ๆ ภายในร้าน การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ หรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมในอนาคต ฯลฯ
คุณประพัฒน์ เสียงจันทร์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านธุรกิจค้าปลีก AIS กล่าวว่า “เอไอเอสมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ IT CITY ในฐานะผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอทีแบบครบวงจรของประเทศมาเป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์คนสำคัญ ประกอบกับจุดแข็งของ IT CITY ที่มีสาขาครอบคลุมกว่า 300 สาขาทั่วประเทศ ทำให้การทำงานร่วมกันครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นที่ 1 ตัวจริง ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและบริการลูกค้า“
นอกจากนั้น เอไอเอสยังร่วมกับ IT CITY ตั้งจุดรับทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยถือเป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนด้วย
ส่วนในอนาคต ทาง IT CITY จะไปมีตัวตนในธุรกิจค้าปลีกของเอไอเอสด้วยหรือไม่นั้น คุณโสภณระบุว่า อาจเป็นไปได้ เนื่องจาก IT CITY มีสินค้าในหลายส่วนที่สามารถเชื่อมโยงกับเอไอเอสได้ เช่น สินค้ากลุ่มเกมมิ่ง และ Accessories
กลยุทธ์ 2025 รับประกันจอขึ้นเส้นเขียว
ด้านคุณเกษม ศรีเลิศชัยพานิช รองกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงกลยุทธ์หลักที่จะใช้ส่งเสริมการขายในปี 2025 เพื่อรองรับความต้องการผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
- การเปิดตัวประกันสมาร์ทโฟน Max Protection by IT CITY ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถเคลมผ่านหน้าร้านเครือ IT CITY ได้ทุกสาขาทั่วประเทศใน 5 มิติ ประกอบด้วย
• เปลี่ยนเครื่องทันที ใน 30 วัน
• ประกันหน้าจอแตก จอเบิร์น 2 ครั้ง ใน 2 ปี (รวมถึงอาการจอขึ้นเส้นเขียว)
• ประกันเครื่อง ซ่อมได้ใน 2 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
• ประกันแบตเตอรี่ 1 ครั้ง ใน 2 ปี
• ดูแลซอฟต์แวร์ตลอดอายุการใช้งาน - IT CITY Reward คะแนนจากทุกการใช้จ่ายซื้อสินค้าทุกหมวด ทั้งสินค้าไอที สมาร์ทโฟน อุปกรณ์เสริมไอทีและสมาร์ทโฟน ภายในร้านเครือ IT CITY ทุกสาขา โดยทุกยอดใช้จ่าย 100 บาท ที่ จะได้รับ 1 คะแนน IT CITY Reward อีกทั้งคะแนนดังกล่าวสามารถใช้แลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งแลกรับส่วนลดในการซื้อสินค้าครั้งถัดไป หรือแลกของรางวัลพิเศษ ซึ่งจะมีแคมเปญออกมาตลอดทั้งปี
พัฒนาช่องทาง O2O ไตรมาส 2 นี้
ปัจจุบัน ไอที ซิตี้ มีจำนวนสาขาในรูปแบบต่าง ๆ 330 สาขา แบ่งเป็น IT CITY, CSC, ACE นอกจากนี้ยังมีส่วนของ Brand shop ที่บริษัทได้รับสิทธิบริหารอีกหลายแห่ง โดยขนาดของสาขามีตั้งแต่ 20 -1,000 ตารางเมตร ซึ่งในปีนี้ บริษัทยังมีการวางแผนพัฒนาช่องทางจำหน่ายในรูปแบบ O2O (Online-to-Offline) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการของไอทีซิตี้ได้สะดวกขึ้นด้วย
สำหรับรูปแบบของ O2O นั้น คุณโสภณระบุว่า เป็นการจอง/ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ www.itcity.in.th และสามารถรับสินค้าได้ที่หน้าร้านได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยยอดขายออนไลน์ในปัจจุบันมีสัดส่วนราว 5% เติบโตขึ้น 2% จากปี 2023 และได้พัฒนาระบบสมาร์ท เวาเชอร์ (Smart Voucher) พร้อมเพิ่มกลุ่มสินค้าที่ใช้งานร่วมกับ Smart Voucher มากขึ้นด้วย (รายละเอียดอย่างเป็นทางการจะประกาศในงาน Opp day)
คุณโสภณ กล่าวต่อว่า “ในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมลงทุนในการขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นนราว 10% พร้อมวางแผนทบทวนปรับเปลี่ยนสาขาในบางทำเล เพื่อรักษาผลดำเนินการและกำไรในภาพรวม รวมถึงปรับปรุงสื่อหน้าร้านและรูปแบบการวางสินค้าหน้าร้านทั้งหมดให้ทันสมัยและดึงดูดลูกค้ามากขึ้นด้วยเช่นกัน“
ตลาดสินค้าไอทียังโตต่อ
สำหรับภาพรวมตลาดของสินค้าสมาร์ทโฟน จากเดือนมกราคม – พฤศจิกายน ผู้บริหารไอทีซิตี้ชี้ให้เห็นว่าในเชิงของมูลค่ามีการเติบโต 3.1% และ Unit เติบโตขึ้น 5.6% ซึ่งคาดการณ์ว่าการเติบโตในปี 2025 ยังเป็นทิศทางเชิงบวก
ส่วนภาพรวมของตลาดไอที ในช่วงเวลาเดียวกัน ในเชิงของมูลค่ามีการเติบโตติดลบ -7.7% และ Unit เติบโตติดลบขึ้น -4% ยังเป็นเทรนที่ติดลบ แต่ก็เรียกได้ว่าโตกลับขึ้นมาจากปี 2023 ที่ตลาดติดลบ Double Digit ซึ่งคาดการณ์ว่าการเติบโตในปี 2025 ยังสามารถเติบโตกลับมาในระดับที่เทียบเท่ากับปี 2023 เป็นอย่างน้อย
ขณะที่ตลาดคอมพิวเตอร์ในไทยคาดว่าจะมีความต้องการที่ขยายตัวสูงขึ้น หลังจากผู้ผลิตชิปชั้นนำได้เปิดตัวเทคโนโลยี AI อาทิ Intel Core Ultra, Ryzen Ai และ Nvidia RTX 5000 Series เพื่อส่งเสริมประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจต่างๆ ได้ชาญฉลาดและรวดเร็วขึ้น
“ทิศทางและกลยุทธ์ของบริษัทฯในปีนี้ ยังเน้นไปที่การตอบโจทย์ลูกค้า และมอบบริการหลังการขายที่ดี รวมถึงการขยายโอกาสใหม่ทางธุรกิจเพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้หลากหลาย” คุณโสภณ กล่าวทิ้งท้าย