แบรนด์ดังเริ่มปรับตัวรับมือกับนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของแดนอินทรี โดยล่าสุดเป็น Estée Lauder เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง Clinique, MAC ที่ออกมาเปิดแผนเลิกจ้างพนักงานครั้งใหญ่ โดยอาจสูงถึง 7,000 ตำแหน่งจากพนักงานทั้งหมด 62,000 คนทั่วโลก ด้านผู้บริหารชี้เป็นการปรับตัวเพื่อรับแรงกระแทกจากนโยบายด้านภาษีของ “โดนัลด์ ทรัมป์”
Stéphane de La Faverie ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวถึงแผนการเลิกจ้างพนักงานครั้งนี้ว่า มาจากนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำให้บริษัทอาจมีค่าใช้จ่ายในการบริหารงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงผลประกอบการของบริษัทที่ตกต่ำ เนื่องจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในจีน และยอดขายในร้านค้าตามสนามบินของภูมิภาคเอเชียก็ลดลงด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ Estée Lauder เผยถึงแนวทางของบริษัทในการรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ว่า บริษัทจำเป็นต้องประหยัดเงินราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33,639 ล้านบาท เพื่อรับมือกับความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอย, ภาษีศุลกากร และการคว่ำบาตร
วัตถุดิบ การวิจัย การจัดจำหน่าย 3 ความท้าทายของ Estée Lauder
วัตถุดิบคือปัจจัยหนึ่งที่ Estée Lauder มองว่าเป็นความท้าทาย โดยปัจจุบัน บริษัทมีการจัดหาส่วนผสมจากหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย มาดากัสการ์ และอินโดนีเซีย อีกทั้งบริษัทยังมีศูนย์พัฒนาในประเทศต่าง ๆ เช่น สหราชอาณาจักร แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ และจีนด้วย
นอกจากนั้น การที่บริษัทจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 150 ประเทศ การปรับขึ้นภาษีของทรัมป์และการตอบโต้ใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาจส่งผลให้บริษัทต้องถูกเก็บภาษีเพิ่มเติม ในกรณีที่ต้องส่งสินค้าข้ามพรมแดนนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ การเลิกจ้างจึงเกิดขึ้นตามมา โดย Estee Lauder มีพนักงานประมาณ 62,000 คนทั่วโลก และตัวเลขสุดท้ายของการเลิกจ้างคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 5,800 – 7,000 คน แต่ยังไม่มีการระบุว่าจะปลดพนักงานในประเทศใดบ้าง และส่วนงานใด โดยพนักงานบางส่วนจะถูกย้ายไปทำหน้าที่ใหม่
สำหรับผลประกอบการของ Estée Lauder ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วพบว่า มีตัวเลขขาดทุน (ก่อนหักภาษี) 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 21,866 ล้านบาท) เมื่อเทียบกับที่เคยมีกำไร 519 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้คนใช้จ่ายน้อยลงในจีนและเกาหลี รวมถึงที่สนามบินในเอเชีย ส่วนยอดขายในไตรมาสดังกล่าวลดลง 6% เหลือ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ